สองพี่น้องถูกจับถูกซ้อมตาย1 อีก1 บาดเจ็บสาหัส

สองพี่น้องถูกจับข้อหายาเสพติดแต่ถูกซ้อมตาย1 อีก1 บาดเจ็บสาหัส

            เมื่อวันที่ 18 เมษายนปีพศ 2563   สำนักข่าวแห่งหนึ่งได้รับการบอกเล่าเรื่องราวจากชายคนหนึ่งที่ชื่อว่านายนิวัฒน์ซึ่งเขาเป็นชาวบ้านแห่งหนึ่ง ในจังหวัดนครพนมช่วยเขาได้เล่าว่าครอบครัวของเขามีฐานะยากจนโดยมีการปลูกบ้านเป็นเพลิงอยู่ตรงท้ายหมู่บ้านซึ่งเขามีลูกชาย 2 คนก็คือยุทธนาและณัฐพงษ์เพิ่งอยู่มาวันนึงอยู่ดีๆก็มีผู้ชายที่แต่งตัวคล้ายกับทหารขับรถกระบะเข้ามาภายในพื้นที่พักอาศัยของตนเองหลังจากนั้นก็พาตัวลูกชายของเขาขึ้นรถกระบะออกไปด้วย

ก็ไม่รู้ว่าลูกชายของเขาถูกนำตัวไปไว้ที่ไหนหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ข่าวว่าลูกชายของเขาคือนายยุทธนาตายแล้วซึ่งลักษณะของการตายนั้นมีร่องรอยของการถูกทำร้ายเนื่องจากว่ามีบาดแผลทั้งที่หน้าอกหางคิ้วแล้วสภาพบริเวณใบหน้าก็ยังมีร่องรอยการเขียวช้ำตาเหลือกค้างส่วนลูกชายอีกคนนึงก็คือณัฐพงษ์วันนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส

ซึ่งมีอาการเดินทางที่ปอดและซี่โครงหัก 2 ซี่โดยลูกชายทั้งสองคนของเขาถูกใส่ที่แต่งตัวคล้ายทหารพาไปซ้อมจะตายและอีกคนนึงก็ยังบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย  เรื่องราวในครั้งนี้นายนิวัฒน์ได้บอกว่าเหตุการณ์ที่มีชายแต่งกายเหมือนกับทหารมาที่บ้านนั้นเกิดขึ้นเมื่อตอนหัวค่ำประมาณซัก 19:00 นของวันที่ 17 เดือนเมษายนปีพศ 2563

ซึ่งตอนนั้นตนเองไม่ได้อยู่บ้านแต่มีคนโทรเข้ามาบอกว่าลูกชายของเขาทั้งสองคนถูกใครก็ไม่รู้นำตัวขึ้นรถกระบะไปแล้วโดยตอนช่วงเวลานั้นตัวนายนิวัฒน์เองไปกินข้าวกับน้องชายของนายนิวัฒน์ที่แถวบริเวณท้ายท้องนาไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุหลังจากรู้เรื่องก็รีบเดินมาที่บ้านทันทีพบว่าบ้านมีร่องรอยการถูกรื้อค้นแล้วพอโทรศัพท์ไปหาลูกก็ไม่มีคนรับสายโทรเข้าไปอีกก็ปรากฏว่ามีใครก็ไม่รู้รับสายแทนลูกชาย

โดยคนรับสายปลายทางบอกว่าพวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบเรื่องของยาเสพติดจึงได้นำตัวลูกชายไปเพื่อสอบสวนแต่ถ้าไม่มียาเสพติดไว้ในครอบครองก็จะมีการปล่อยตัวต่อมาประมาณสักช่วงเวลา 1:00 นก็มีเบอร์ของลูกชายโทรเข้ามาบอกให้ไปดูลูกชายอีกคนนึงตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลนายนิวัฒน์และภรรยาจึงได้เดินทางไปที่โรงพยาบาล

หลังจากนั้นก็มีคนที่แต่งตัวคล้ายกับทหารเดินเข้ามายกมือไหว้ขอโทษซึ่งตนก็ถามว่าลูกของเขาเป็นอะไร ลูกของเขาตายหรือยังซึ่งชายคนดังกล่าวก็บอกว่าตอนนี้หมอกำลังดูอาการให้อยู่แต่หลังจากที่เขาได้ไปดูสภาพลูกชายทั้งสองคนก็พบว่าลูกชายคนโตนั้นคุณหมอกำลังช่วยรักษาด้วยการพยายามปั๊มหัวใจแต่ไม่สามารถช่วยเหลือได้

โดยลูกชายคนโตเขาเสียชีวิตส่วนคนเล็กยังไม่ตายแต่หลายคนที่แต่งตัวเหมือนอาหารไม่ยอมบอกว่าเอาลูกชายคนเล็กของเขาไปไว้ที่ไหน  นายนิวัฒน์บอกว่าลูกทั้งสองคนเคยมีประวัติเกี่ยวกับยาเสพติดแต่ก็เลิกมานานแล้วซึ่งเมื่อนักข่าวสอบถามกับทางเพื่อนบ้านต่างก็ให้ข้อมูลตรงกันว่าเคยมีประวัติเกี่ยวกับยาเสพติดจริงแต่ทั้งคู่ได้เลิกยุ่งเกี่ยวแล้ว

และตอนนี้ทั้งคู่ก็เป็นเด็กดีช่วยเหลือพ่อแม่ทำนาซึ่งถ้าหากชายคนดังกล่าวเป็นทหารจริงก็ควรจะจับกุมไปสอบสวนดีๆไม่ควรจะซ้อมจนถึงขนาดต้องทำให้ถึงแก่ความตายขนาดนี้

คนขับรถเมล์สาย 140 ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าจนเสียชีวิต

         มีข่าว ออกมาว่าคนขับรถเมล์สาย 140 เพิ่งเสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าวิ่งรถเมล์สาย 140 นั้นจะเป็นการวิ่งจากแสมดำไปจนถึง แถวบริเวณย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิซึ่งเหตุการณ์ที่คนขับรถเมล์เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโคโรน่านั้น

  ได้มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านทาง Social ว่ามีคนขับรถเมล์คนนึงเป็นผู้หญิงขับรถเมล์สาย 140 เพิ่งเสียชีวิตไปและจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโคโรน่า

ดังนั้นจึงได้มีการประกาศออกมาให้บุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับหญิงสาวที่ขับรถเมล์คนดังกล่าวทำการกักตนเองเป็นระยะเวลา 14 วันรวมถึงไปทำการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรน่าที่โรงพยาบาล  โดยเหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้นเนื่องจากว่าหญิงสาวคนดังกล่าวเป็นคนขับรถเมล์ซึ่งจะมีผู้โดยสารที่ขึ้นรถเมล์จากแสมดำไปอนุสาวรีย์เป็นจำนวนมาก

โดยระหว่างที่มีการติดเชื้อนั้นน่าจะมีคนที่ได้รับความเสี่ยงในการได้รับเชื้อจากหญิงสาวคนดังกล่าวเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกันเพราะว่าหลายคนสงสัยว่าเหตุใดเมื่อทราบว่าตนเองติดเชื้อไวรัสโคโรนาจึงไม่มีการออกมาประกาศให้คนอื่นได้ทราบเพื่อที่จะได้ป้องกันแต่กลับปิดบังเอาไว้ทำให้ตอนนี้ไม่ทราบว่าใครบ้างที่อยู่ในกลุ่มความเสี่ยง

นื่องจากรถเมล์คันที่หญิงสาวคนดังกล่าวขับนั้นเป็นรถเมล์ปรับอากาศดังนั้นใครก็ตามที่ขึ้นรถเมล์ในช่วงที่หญิงสาวมีเชื้อไวรัสโคโรน่าอยู่ก็น่าจะมีความเสี่ยงเป็นอย่างมากที่จะติดเชื้อไวรัส ซึ่งเมื่อเรื่องราวนี้ถูกเผยแพร่ออกไปทางผู้อำนวยการของ ขสมก. ก็ได้ออกมายอมรับว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นจริง โดยเบื้องต้นเมื่อย้อนข้อมูลกลับไปแล้ว

พบว่าคนขับรถเมล์ดังกล่าวเริ่มมีอาการป่วยตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 เดือนมีนาคมหลังจากนั้นวันที่ 3 เมษายนก็มีอาการไข้ขึ้นสูงโดยวัดไข้ได้ถึง 38 องศาเซลเซียสหลังจากนั้นจึงได้มีการไปตรวจวัดไข้หาเชื้อไวรัสโคโรน่าที่โรงพยาบาลเมื่อวันที่ 4 เมษายน

และพบว่าตนเองติดเชื้อไวรัสจึงเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลและเสียชีวิตในวันที่ 12 เมษายน ซึ่งหลังจากที่คนขับรถเมล์สาวเสียชีวิตลงทางขสมก.เองก็ได้มีการกับตัวพนักงานรวมทั้งสิ้น 18 คนที่มีความเกี่ยวข้องกับคนขับรถเมล์คนดังกล่าวเบื้องต้นพบว่ามีผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าอยู่ในกลุ่มของพนักงานเก็บเงินบนรถเมล์ประมาณ 4 คนแล้ว

หลังจากนี้ยังต้องเฝ้าดูอาการคนอื่นๆอีกว่าจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าเพิ่มหรือไม่และยังต้องตามหาคนที่ขึ้นรถเมล์ 140 ในช่วงที่ผู้ป่วยยังไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อไวรัสโคโรนานั่นก็คือตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคมมาจนถึงวันที่ 4 เมษายน

ประกาศห้ามขายเหล้าในกรุงเทพตั้งแต่ 10-20 เมษายน ปี 63 นี้ 

   เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ยังมีการแพร่หลายทุกภาคในประเทศไทยดังนั้นตอนนี้ทางรัฐบาลจึงมีนโยบายเพื่อหามาตรการลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19มากยิ่งขึ้นซึ่งหนึ่งในนโยบายที่มีอยู่ในตอนนี้ก็คือการเคอร์ฟิวไม่ให้ประชาชนออกนอกบ้านตั้งแต่ช่วงเวลา 4 ทุ่มถึงตี 4 และในเดือนเมษายนนี้

ประเทศไทยโดยปกติแล้วจะมีการจัดเทศกาลวันสงกรานต์ซึ่งเทศกาลนี้ประชาชนต่างก็จะพากันเดินทางออกจากกรุงเทพฯเพื่อกลับบ้านที่ต่างจังหวัดและจะจัดงานสังสรรค์กันในครอบครัวโดยทางรัฐบาลได้ขอความร่วมมือพร้อมกับประกาศไม่ให้ประชาชนเดินทางออกต่างจังหวัดโดยเด็ดขาดรวมถึงห้ามทุกจังหวัดทุกอำเภอและทุกตำบลมีการจัดงานสงกรานต์

โดยถ้าหากบ้านไหนต้องการจัดงานสงกรานต์ก็ให้จัดงานกันภายในบ้านที่อยู่อาศัยด้วยกันเองเท่านั้นห้ามเชิญชวนญาติพี่น้องจากที่อื่นมาร่วมจัดงานเลี้ยงด้วยเด็ดขาดหากอยากลดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ก็ให้ทำผ่านทางวีดีโอคอลได้รวมถึงหากใครอยากจะสืบสานประเพณีไทยก็ให้นำพระพุทธรูปที่อยู่ในบ้านมาทำการรดน้ำดำหัวพระพุทธรูปแทน

ซึ่งหลังจากที่มีประกาศออกไปก็ทำให้ประชาชนเริ่ม รับทราบแล้วว่าจะไม่สามารถมีการจัดงานสงกรานต์หรือจัดงานเทศกาลได้ และในวันนี้เองวันที่ 9 เมษายนปีพศ 2563 รัฐบาลได้มีการประกาศออกมาอีกครั้งหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องของการงดการขายเหล้าเบียร์ให้กับประชาชนโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 10 ถึงวันที่ 20 เมษายนเป็นต้นไปซึ่งถือว่าเป็นระยะเวลานานถึง 10 วันด้วยกันที่ประชาชนจะไม่สามารถซื้อเหล้าหรือเบียร์มารับประทานได้

ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีหลายจังหวัดที่มีการประกาศออกมาห้ามจำหน่ายเหล้าเบียร์เนื่องจากว่าการที่ประชาชนซื้อเหล้าเบียร์ไปกินนั้นไม่ได้พิมพ์คนเดียวแต่มีการนั่งกินกับเพื่อนฝูงซึ่งเป็นความเสี่ยงอย่างมากที่จะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ได้ดังนั้นหลายๆจังหวัดจึงได้มีการห้ามในการที่จะจำหน่ายสุราเหล้าเบียร์ต่างๆโดยทั้งนี้ที่กรุงเทพฯเองก็มีการประกาศการให้ไม่มีการจำหน่ายเป็นระยะเวลา 10 วัน

โดยอาศัยช่วงในวันสงกรานต์นี้ห้ามประชาชนดื่มเหล้าดื่มเบียร์แต่เมื่อมีการประกาศออกมาในวันที่ 9 เมษายนนี้เอง ทำให้ประชาชนต่างก็พากันเดินทางไปช้อปปิ้งที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตรวมถึงร้านค้าต่างๆเพื่อมีการกักตุนเหล้าเบียร์ไว้ทานในช่วง 10 วันที่ทางกรุงเทพฯ

จะไม่ให้ขายเหล้าหรือเบียร์ทำให้วันนี้เรียกได้ว่าข้างในกรุงเทพฯส่วนใหญ่เหล้าเบียร์ตรงชั้นวางขายของหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือเลยทีเดียว ซึ่งต้องมาดูกันว่าหลังจากที่มีการประกาศห้ามขายเหล้าและเบียร์นั้นจะมีคนฝากฝืนมากน้อยแค่ไหน 

 

ข่าวการจ้างวานฆ่ากำนันยูร

จากการสอบปากคำนายพสิษฐ์และนายธนาวุฒิผู้ต้องหาที่โดยจับกุมได้ให้การยอมรับว่าพวกตนได้ถูกว่าจ้างวานให้ฆ่ากำนันยูรจริงโดยในระหว่างปี2545และในปี2546ทั้งคู่นั้นก้ได้มีการที่จะหาจังหวะที่จะรอบสังหารกำนันยูรถึง4ครั้ง

แต่ก็ไม่สำเร็จจนกระทั่งครั้งที่5คือวันที่9มีนาคม ปี2546ขณะที่กำลังวางแผนรอบยิงกำนันยูร กำนันเป๊าะกับส่งคนมาบอกว่าไม่ต้องลงมือแล้วแผนการของทั้งคู่จึงหยุดลงแต่สุดท้ายกำนันยูรก็โดยฆ่าโดยไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใครแม้สองผู้ต้องหาจะไม่ใช่ผู้ที่ลงมือในวันนั้นและยังไม่รู้ว่ามือปืนตัวจริงเป็นใครแต่จากคำสารภาพจากปากคำของทั้งคู่ก็ได้กลายเป็นกุจแจดอกสำคัญที่โยงไปถึงตัวผู้บงการด้วยการซัดทอดว่า กำนันเป๊าะ เป็นผู้ที่จ้างวานฆ่ากำนันยูร

เมื่อได้หลักฐานและพยานในการนำไปสู่การออกหมายจับและหมายค้นบุกเข้าไปจับกุมตัวของ กำนันเป๊าะที่บ้านพักในข้อหาที่ร้ายแรงคือใช้การจ้างวานฆ่ากำนันยูรแต่ตำรวจต้องคว้าน้ำเหลวเนื่องจากไม่พบหลักฐานต้องลูกคดีซ้ำร้ายยังไม่พบร่องรอยของกำนันเป๊าะที่ได้มีการร่องหนหายไปก่อนน่านี้หลังจากที่ได้หลบหนีไปตั้งหลักเมื่อวันที่17เมษายน 2546กำนันเป๊าะ

ก็ติดต่อของมอบตัวและยื่นหลักทรัพย์ค้ำประกันสูงถึง10ล้านบาทเพื่อแลกกับอิสระภาพชั่วคราวและยิ่งในตอนนั้น กำนันเป๊าะ มีสถานะเป็นถึงพ่อของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาทุกสายตาจึงต่างจับจงว่าครั้งนี้เขาจะรอดพ้นกระบวกการการยุติธรรมหรือไม่ในอิสระภาพชั่วคราวนี้ก็ไม่ได้ทำให้ขาหลบเลี่ยงกระบวนการการยุติธรรมไปได้กว่า2ปี

ที่เจ้าพ่อตะวันออกต้องก้าวขาเข้าออกห้องพิพากษาเป็นว่าเล่นเวลาทอดยาวไปจนกระทั่งวันหนึ่งจุกพลิกชะตาของเจ้าพ่อก็มาถึงระหว่างที่สู้คดีการจ่างวาลฆ่ากำนันยูรคดีเก่าที่ค้าไม้ที่เขาไม้แก้วก็เดินทางมาถึงวันพิพากษา 30มีนาคม 2546 ศาลจังหวัดชลบุรีพิพากษาจำคุก5ปี4เดือน กำนันเป๊าะ ยื่นอุทธรณ์ 11พฤษภาคม 2547ศาลอุทธรณ์ยื่นยันพิพากษาศาลอุทธรณ์ชั้นต้นจำคุ5ปี4เดือนกำนันเป๊าะได้ยื่นฏีกาในช่วงนั้นคดีจ้างวานฆ่ากำนันยูร

ก็ถึงวันพิพากษาเช่นกัน21มิถุนายน 2547ศาลอาญาพิพากษาจำคุกำนันเป๊าะ25ปีและให้นับโทษต่อจากคดีทุจริตที่ดินทิ้งขยะเขาไม้แก้วเป็นจำคุก30ปี40เดือนกำนันเป๊าะยื่นอุทธรณ์สู้คดี12ตุลาคม2548ศาลอุทธรณ์พิพากษาตามศษลอุทธรณ์ชั้นต้น

กำนันเป๊าะได้ยื่นฏีกานาทีที่แท้จริงขิงกำนันเป๊าะเมื่อคดีที่ดินทุจริตที่ดินเขาไม้แก้วเดินทางมาถึงศาลฏีกาอันเป็นศาลสุดท้ายแล้ว24กุมภาพันธ์2549ศาลฏีกานัดอ่านคำพิพากษากำนันเป๊าะอ้างป่วยขอเลื่อนสุดท้ายก็หลบหนีศาลจึงออกหมายจับ

ข่าวแนวคิดยาบ้าราคา50สตางค์

ผู้อำนายการศูนย์วิชาการสารเสพติดภาคเหนือคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ยังได้บอกอีกว่าในตลอด20ปีที่ผ่านมาในส่วนของนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของประเทศไทยยังไม่ประสบผลสำเร็จ

ดังนั้นควรดำเนินนโยบายตามแนวทางของกลุ่มสหภาพยุโปรที่ได้มีการยกเลิกในการปราบปรามและเลือกที่จะอยู่กับยาเสพติดภายใต้ในการควบคุมไม่ให้นำเอาไปใช้ในทางที่ผิดหลังจากการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยพิเศษว่าด้วยปัญหาของยาเสพติดโลกที่กรุงนิวยอร์กประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่19ถึงวันที่21เมษายน ที่ผ่านมา

กระทรวงยุติธรรมของประเทศไทยได้มีแนวคิกที่จะแก้กฏหมายโดยที่จะถอนยาบ้าออกจากบันชีสารเสพติดร้ายแรงในประเภคที่1ให้เป็นสารเสพติดประเภคที่2 คือเป็นสารเสพติดทั่วไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับมอร์ฟีนและฝิ้นนอกจากนั้น

จึงได้มีแนวคิดที่จะผลิตยาบ้าจำหน่ายในราคาเม็ดละประมาณ50สตางค์เป้าหมายการทำรายเครือข่ายกระบวนการค้ายาเสพติดในตลาดมืดสอดสอดคล้องกับความเห็นของผู้อำนวยการศูนย์วิชาการสารเสพติดภาคเหนือคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ได้บอกว่ายาเสพติดรวมถึงสิ่งต่างๆที่ได้เป็นอันตรายต่อประชาชนควรอยู่ในการควบคุมของรัฐบาล ก่อนปี2539 สารกลุ่มแอมฟาตามีนได้ถูกจัดให้อยู่ในวัตถุออกฤทธิ์ประเภค29ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตนและประสาทพุทธศักราช2518

มีประโยชน์ทางการแพทย์สามารถที่จะผลิตและนำเข้าโดยกระทรวงสาธารณสุขและจำหน่ายให้แก่ผู้ประกอบการวิชาชีพเวชกรรมทันตกรรมและสัตวแพทย ซึ่งเป็นผู้จ่ายยาให้แก่คนไข้ของตนไม่มีขายในตามร้านขายยาแต่หลังจากในปี2539 สารในกลุ่มนี้ก็ได้ถูกเรียกชื่อใหม่ว่ายาบ้าและถูกย้ายมาอยู่ในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพุทธศักราช2522 และได้ให้เป็นยาเสพติดรายแรงประเภคที่1 ที่ห้ามผลิตนำเข้าครอบครองหรือครอบครองเอาไว้เพื่อจัดจำหน่าย

ทำให้สารกลุ่มแอนฟาตามีนไม่สามารถที่จะนำเอามาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ได้อีกต่อไป หลายฝ่ายก็ได้ตั้งข้อสังเกตุเอาไว้ว่าในการแก้ไขทางกฏหมายจะกระทบตอการปราบปรามยาเสพติดโดยเฉพาะเรื่องสินบนนําจับและรางวัลคดียาเสพติดที่เป็นแรงจูงใจสำคัญสำหรับเจ้าหน้าที่หรือมไม่เลขาธิการคณะกรรมการป้องกัน

และปราบปรามยาเสพติดบอกว่าขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างของการพิจารณาว่าจะยกเลิกหรือปรับเปลี่ยนสินบนนำจำและรางวัลคดีของยาเสพติดเพื่อให้สอดคล้องกับสถาการระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจ่ายเงินสินบนและรางวัลยาเสพติดสำหรับคดียาบ้ากำเนิดว่าหากเจ้าหน้าที่จำกุมยาบ้าได้ไม่เกิดจำนวนประมาณ10เม็ดอัตราการจ่ายคือคดีละ360บาท

หากจับกุมได้11เม็ดถึง500เม็ดอัตราในการจ่ายคือเม็ดละ10บาทหากจับเกิน500เม็ดให้คำนวนจากสารบริสุทธิ์ของแอนฟาตามีนหรออนุพันธุ์ของแอนฟาตามีนในของกลางทั้งหมดออกมาเป็นอัตราในการจ่าย

 

สนับสนุโดย  entaplay

คนร้ายบุกยิง จนลูกจ้างดับคาที่

 มีคดีอุกอาจเกิดขึ้นที่จังหวัดตรัง มีคนร้ายใช้ปืน M16 ยิงลูกจ้างร้านค้าขายพลาสติก หน้าห้องเช่าในพื้นที่จังหวัดตรังเสียชีวิต ซึ่งเหตุการณ์ในคำนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องสงสัยเรียบร้อยแล้ว  เหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นในซอยแห่งหนึ่งในจังหวัดตรัง

ซึ่งไม่มีชื่อว่าเป็นชื่อซอยอะไรแต่ภายในซอยจะมีการปลูกห้องเช่าให้ลูกจ้างได้พักอาศัยโดยภายในซอยจะมีห้องพักอยู่หลายอย่างด้วยกัน ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ลงมาตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ ซึ่งระหว่างที่ทางเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการนั้นก็มีชาวบ้านมามุงดูเป็นจำนวนมากโดยเจ้าหน้าที่พบศพชายเสียชีวิต 1 รายชื่อว่า นายสุธน    แซ่ฮ่องอายุประมาณ 44 ปี

ซึ่งทำงานเป็นลูกจ้างร้านค้าขายพลาสติก ซึ่งสภาพศพนั้นมีเลือดไหลออกมาจากร่างกายเป็นจำนวนมาก และมีไส้ทะลักโดยมีอาวุธปืนยิงเข้าไปในร่างกายรวมทั้งหมดประมาณ 6 นัดด้วยกัน ซึ่งลักษณะการยิงของคนร้ายเหมือนกับว่ามีการโกรธแค้นกับผู้ตายเป็นอย่างมากเริ่มต้น ทราบมาว่าก่อนเกิดเหตุนายสุทนได้นั่งกินสุราพร้อมกับเปิดเพลงฟังอยู่หน้าบ้านคนเดียวหลังจากนั้นชาวบ้านก็เห็นว่ามีใครก็ไม่รู้เขาไม่เห็นหน้าตา

แล้วไม่รู้ว่ามีกี่คนแต่ที่รู้คือคนร้ายเดินผ่านมาจากทางสวนยางพาราและพอมาถึงนายสุธนก็กระหน่ำยิงโดยไม่พูดอะไรเลย ซึ่งเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตรวจสอบหาสาเหตุของการกระทำในครั้งนี้แต่อาจจะเกิดเป็นไปได้ว่าคนร้ายไม่พอใจที่นายสุธนเปิดเพลงเสียงดัง 

     มีเพื่อนบ้านของนายสุธนให้การกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าโดยปกติแล้วบ้านหลังที่นายสุธนอยู่ในอยู่กับภรรยา 2 คน ซึ่งทั้งคู่มักจะมีการเปิดเพลงเสียงดังตลอดทั้งวันหากมีการอยู่บ้านแต่ว่าช่วงสองสามวันมานี้ไม่เห็นหน้าภรรยาของนายสุธนเลย และในวันเกิดเหตุนี้นายนายสุธนก็อยู่บ้านคนเดียวไม่ได้ออกไปทำงานเลยออกมานั่งกินเหล้าอยู่หน้าบ้าน  

ซึ่งตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องสงสัยไปสอบปากคำอยู่โดยผู้ต้องสงสัยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำไปนี้จะมีบ้านอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับที่พักของนายสุธนซึ่งถ้าดูจากสถานที่ห่างกันของบ้านทั้งสองหลังนั้นบ้านหลังใหญ่ดังกล่าวจะต้องมีการเดินตัดมาทำสวนยางพาราถึงจะเดินทางมาที่บ้านของนายสุธนได้ซึ่งมันตรงกับคำให้การของเพื่อนบ้านที่เห็นว่ามีใครก็ไม่รู้เดินเข้ามาจากสวนยางพารา  

ชาวบ้านได้บอกว่าบ้านหลังใหญ่ดังกล่าวไม่มีใครรู้จักเจ้าของบ้านเป็นการส่วนตัวแต่เท่าที่รู้ว่าหลังนั้นจะมีเจ้าหน้าที่ทหารเป็นผู้มาพักอาศัยนานๆถึงจะเห็นอยู่บ้านที ซึ่งหลายคนสันนิษฐานกันว่านายทหารคนดังกล่าวอาจจะรำคาญเสียงเพลงที่นายสุธนเปิดฟัง

จึงได้มาก่อเหตุยิงนายสุธนเพราะว่าบ้านอยู่ใกล้เคียงกันมากที่สุดเวลาที่นายสุธนเปิดเพลงเห็นเพลงน่าจะไปสร้างความรำคาญให้กับนายทหารคนดังกล่าวก็เป็นได้ทั้งนี้ต้องรอทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนต่อไป 

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  bk8

อาจารย์เครียดกลัวติดเชื้อไวรัสโคโรนาจึงหนีไปผูกคอตาย

 ที่จังหวัดนครนายกทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งความว่ามีคนพบศพชายคนหนึ่งเสียชีวิตจากสาเหตุการผูกคอตายที่บ้านพักเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปถึงพบกับผู้เสียชีวิตเป็นเพศชายมีข้อความเขียนไว้เกี่ยวกับสาเหตุการลาตายเอาไว้เรียบร้อยแล้วโดยใช้คนดังกล่าวตรวจสอบพบว่าเป็นครูสอนหนังสืออยู่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดนครนายก

ซึ่งในข้อความไลน์ระบุว่าตนเองกลัวที่จะติดเชื้อไวรัสโคโรน่าและไม่อยากที่จะไปแพร่เชื้อให้กดคนในครอบครัวจึงได้ทำการฆ่าตัวตายดังกล่าว เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบหลักฐานการตายเสร็จแล้วจึงได้นำศพของคุณครูคนดังกล่าวส่งโรงพยาบาลเพื่อให้ตรวจสอบว่าคุณครูที่เสียชีวิตนี้ได้มีการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าหรือไม่

และถ้าเกิดผลออกมาว่ามีการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าก็จะมีการติดตามประสานงานให้บรรดาญาติๆของคุณครูท่านนี้ทำการกักตัวเป็นระยะเวลา 14 วันเพื่อตรวจสอบว่ามีการติดเชื้อไวรัสโคโรน่ากับคุณครูมาหรือไม่เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด 

      สำหรับเหตุการณ์ที่คุณครูผูกคอเสียชีวิตในครั้งนี้คุณครูมีการระบุไว้ว่าเนื่องจากกลัวว่าจะมีการติดเชื้อไวรัสโคโรน่านั้นหากว่าเป็นความจริงก็เท่ากับว่าคุณครูตื่นตูมเกินกว่าเหตุเพราะจริงๆแล้วทางรัฐบาลเองก็ได้มีการประชาสัมพันธ์มาโดยตลอดว่าการติดเชื้อไวรัสโคโรน่านั้นสามารถรักษาให้หายได้ซึ่งเราก็พบเห็นอยู่ตามข่าวสารที่มีการออกทุกวันถึงจำนวนผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาระหว่างจำนวนคนที่หายกับกลุ่มคนที่ตายนั้นแตกต่างกันมากเพราะจริงๆแล้วคนที่ติดเชื้อและตายนั้นมีจำนวนน้อยมากในประเทศไท

ซึ่งถ้าจำไม่ผิดเพิ่งมีคนไปแค่เพียง 1 คนเท่านั้นเองดังนั้นสิ่งที่คุณครูคนนี้ทำเป็นการสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านที่เขาไม่ได้รับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับอาการของคนที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าว่าจริงๆแล้วอาการของการติดเชื้อไม่ได้น่ากลัวแต่อย่างใดเพราะก็เหมือนกับการเป็นไข้หวัดเพียงแต่ถ้าเกิดว่าใครสุขภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรงเชื้อไวรัสจะไปทำลายอวัยวะภายในได้เร็วขึ้นเท่านั้นเองแต่หากใครสุขภาพร่างกายแข็งแรงก็เท่ากับว่าคุณก็ยังสามารถรักษาให้หายขาดได้เพราะฉะนั้นรัฐบาล

อาจจะต้องมีการออกมาให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคไวรัสโคโรน่าเพื่อประชาชนจะได้ไม่ตื่นตูมและไม่เกิดเหตุเศร้าสลดเหมือนที่อาจารย์ที่จังหวัดนครนายกได้ทำอยู่ในขณะนี้ สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าในขณะนี้สำหรับประเทศไทย

แล้วถือว่ามีความทวีความรุนแรงขึ้นมากนักแต่สำหรับในเรื่องของการรักษาแล้วประเทศไทยยังถือว่ายังสามารถควบคุมไม่ให้ประชากรของตนเองเสียชีวิตได้ค่อนข้างดีดังนั้นประชาชนจึงไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวเกี่ยวกับการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าให้มากเกินไปนัก

ทหารไทยวางอาวุธหันมาจับถังน้ำยาฆ่าเชื้อฉีดฆ่าเชื้อไวรัสทั่วกรุงเทพฯ

      โดยปกติแล้วเราจะรู้ว่าทหารมีหน้าที่ปกป้องประเทศชาติคอยจับปืนต่อสู้กับเหล่าข้าศึกศัตรูที่จ้องจะมารุกรานประเทศชาติของเราด้วยในสมัยก่อนทหารจะจับดาบไว้ฟาดฟันกับศัตรูที่หวังจะมายึดครองประเทศต่อมาก็เปลี่ยนจากดาบมาเป็นปืน

ซึ่งเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแต่ในปัจจุบันที่ประเทศชาติไม่ได้มีปัญหาต้องรบราฆ่าฟันกับข้าศึกศัตรูที่ไหนแต่กำลังพบปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาทำให้เหล่าทหารไทยผู้หาญกล้าจำเป็นต้องวางดาบวางปืนแล้วหันมาจับกระบอกฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อเพื่อที่จะได้ฆ่าเชื้อโรคและฆ่าเชื้อไวรัสโคโรน่าให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทยโดยตอนนี้มีการเลิกดำเนินการที่แรกก็คือในเขตกรุงเทพฯโดยจะเน้นการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อไปตามจุดต่างๆ

ที่ประชาชนนิยมไปใช้บริการเช่นตามป้ายรถเมล์แถวบริเวณสถานีรถไฟลอยฟ้าและแถวบริเวณสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินซึ่งการดำเนินการนี้เป็นการสั่งการโดยนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชาโดยเริ่มมีการดำเนินการกันมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 มีนาคมปีพศ 2563 โดยมีกำหนดการที่จะมีการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในเขตกรุงเทพฯแบบนี้ทุกวัน

ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังทหารจะต้องออกปฏิบัติการตั้งแต่ช่วงเวลา 1:00 นลากยาวจนถึง 05:00 นซึ่งคาดว่าการกระทำในการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อนี้จะทำต่อเนื่องกันไปจนถึงวันที่ 31 มีนาคมหรืออาจจะจนกว่าจะสิ้นสุดปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า

      สำหรับวิธีการการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อตามสถานที่ที่มีคนหนาแน่นนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีแต่จริงๆแล้วมันสามารถช่วยได้แค่เพียงระดับหนึ่งเท่านั้นเองเพราะเนื่องจากว่าเมื่อเรามีการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อไปแล้วและมีคนที่ติดเชื้ออาจจะบักขี้มูกแล้วมาป้ายตรงจุดที่ทหารเคยมาฉีดยาฆ่าเชื้อตัวเชื้อโรคก็จะกลับมาอีกครั้งหนึ่งซึ่งถ้าใครมาโดนขี้มูกตรงจุดนั้นก็จะได้รับเชื้อไวรัสโคโรน่าไปทันทีดังนั้นการฆ่าเชื้อโดยการฉีดพ่นน้ำยาช่วงเวลา 01:00 นถึง 5:00 น

จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเพราะจริงๆแล้วการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุคือการค้นหาคนที่ติดเชื้อไวรัสทั้งหมดแล้วนำมารักษาเพื่อให้หายจะได้ไม่ไปแพร่เชื้อให้กับคนอื่นอีกซึ่งวิธีการที่ถูกต้องควรจะเปิดสถานที่ สามารถให้ประชาชนเข้ามาตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรน่าได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแล้วเมื่อคัดกรองแล้วว่าใครติดเชื้อก็นำตัวไปรักษาวิธีการนี้น่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าภายในประเทศไทยเพราะต่อให้เราฉีดพ่นไปมากแค่ไหนแต่ระหว่างวันมีคนที่ติดเชื้อและไม่ติดเชื้อเดินกันขวักไขว่ไปมายังไงเชื้อก็สามารถส่งต่อถึงกันได้อยู่ดี

สาว อบต. ลพบุรี ถูกหัวหน้างานลวนลาม

 มีน้องผู้หญิงคนนึงชื่อว่าน้องน้ำ โดยเรื่องราวของเธอถูกเผยแพร่ออกมาผ่านทาง facebook จากชมรมคนไม่กลัวผู้มีอิทธิพล โดยในเพจมีการระบุเอาไว้ว่า น้องน้ำคนดังกล่าวต้องการที่จะหลบหัวหน้างานแล้วน้องน้ำทำงานอยู่ที่ อบต.แห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี

แล้วถูกลูกพี่พยายามจะเข้ามาปล้ำ ซึ่งมีคลิปวีดีโอโพสต์ลงไปประกอบกับคำบรรยายในเพจด้วยซึ่งในคลิปจะเห็นว่าหัวหน้าของน้องน้ำพยายามที่จะเข้าไปปล้ำน้องน้ำ โดยน้องน้ำได้เล่าถึงสาเหตุที่เข้ามาในห้องที่เกิดเหตุนี้และถูกหัวหน้าปกป้องว่าในวันดังกล่าวที่เกิดเรื่องเป็นวันที่ทางอบตมีการจัดงานแจกเสื้อให้กับชาวบ้านซึ่งมีลุงคนหนึ่งเป็นคนที่คุ้นเคยกับน้องน้ำดีเดินมาบอกน้องน้ำว่าหัวหน้าของน้องน้ำให้น้องน้ำไปประกาศเสียงตามสายบอกให้ชาวบ้านเดินทางมารับเสื้อ

ดังนั้นน้องน้ำจึงได้เดินเข้ามาในห้องประกาศเสียงตามสาย หลังจากนั้นปรากฏว่าลูกพี่ของน้องน้ำได้เดินตามเข้ามา แล้วก็ตรงเข้ามาทำการปลุกปั้นน้องน้ำซึ่งน้องน้ำก็พยายามขัดขืนหลังจากที่คลิปนี้มีการเผยแพร่ออกสู่สังคม Social ทำให้นักข่าวได้ทราบข่าวและลงเข้าไปในพื้นที่เพื่อไปสอบถามกับน้องน้ำผู้หญิงในคลิปดังกล่าวซึ่งน้องๆก็ได้ให้ข้อมูลกับนักข่าวว่าในวันดังกล่าวมีการจัดกิจกรรมแจกเสื้อให้กับชาวบ้าน

โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 มีนาคมปีพศ 2563 นี้เอง แล้วเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นดังในคลิปที่มีการเผยแพร่ออกไปนั่นเองไปให้ข้อมูลกับนักข่าวเหตุการณ์ในวันดังกล่าวน้องน้ำยังไม่ทันได้ถูกข่มขืนก็สามารถหนีรอดออกมาได้ก่อนแต่น้องน้ำไม่ได้มีการทำร้ายหรือตบตีทางลูกพี่แต่อย่างใดเนื่องจากว่าเกรงกลัวลูกพี่จะทำร้ายร่างกายเพราะโดยปกติแล้วลูกพี่ของน้องน้ำมักจะพกปืนติดตัวอยู่ตลอดเวลาดังนั้นในวันเกิดเหตุจึงได้ทำเพียงแค่วิ่งหนีออกมาจากจุดเกิดเหตุเท่านั้น แล้วก็มานั่งร้องไห้อยู่ด้านนอกซึ่งเธอเชื่อว่าเพื่อนๆที่อยู่ในบริเวณจุดเกิดเหตุน่าจะได้ยินเหตุการณ์แต่คงไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วยเพราะว่าลูกพี่เป็นคนที่มีอิทธิพลและเธอเชื่อว่าผู้หญิงหลายคนที่เคยทำงานอยู่ที่นี่น่าจะเคยถูกลูกพี่กระทำการข่มขู่บังคับขืนใจเช่นเดียวกันกับเธอเหมือนกันเจอเธอยังบอกด้วยว่าตลอดเวลาที่ทำงานอยู่ด้วยกันมาลูกพี่

คนนี้มักจะพูดจาลามกกับลูกน้องอยู่เสมอ และหลังจากเกิดเหตุการณ์แบบนี้เธอได้ไปทำการร้อง  อบต. และร้องศูนย์ดำรงธรรม แต่ก็ไม่มีเพื่อนร่วมงานคนไหนจะมาเป็นพยานให้กับเธอเลยเพราะทุกคนต่างก็เกรงกลัวอิทธิพลของนายก อบต. คนนี้กันมาก แต่เมื่อนักข่าวลงไปสอบถามคนงานที่ทำงานอยู่ในบ้านของนายกอบตคนดังกล่าวทุกคนต่างให้ข้อมูลเหมือนกันว่านายก อบต. เป็นคนดีและไม่มีใครเชื่อว่านาย อบต.

จะทำเช่นนั้นซึ่งหลายคนเชื่อว่านายกต้องถูกวางยาแน่นอนถึงมีอาการเช่นนั้นออกมาโดยทุกคนต่างก็บอกตรงกันว่าชาวบ้านและลูกน้องของนายก อบต. คนนี้ยังรักนายกกันทุกคนเพราะว่าเขาเป็นคนดี ซึ่งคงต้องรอผลการสอบสวนกันต่อไป

ลูกคลั่งยา ฆ่าแม่

 เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่จังหวัดขอนแก่น เป็นเหตุการณ์ที่ลูกชายหลอนยาเสพติดแล้วฆ่าแม่ โดยผู้ก่อเหตุชื่อว่านายไพบูรณ์ อายุ 49 ปี

ตกงานแล้วกลับมาอยู่บ้านกลับแม่ แล้วอยู่ๆเขาก็คลุ้มคลั่งใช้เสียมทุบหัวแม่ และใช้มีดแทงแม่ไปหลายแผล ซึ่งคุณ แม่คือยายป้อ อายุ 78 ปีซึ่งตอนที่ยายถูกลูกทำร้าย ยายไม่รู้ตัวเพราะนั่งหันหลังให้ ทำให้ยายเสียชีวิตคาที่ หลังจากที่นายไพบูรณ์ฆ่าแม่แล้วตำรวจก็สามารถตามจับตัวมาได้ทันทีโดยเบื้องต้นที่มีเหตุการณ์สลดใจเกิดขึ้นนี้ทางนักข่าวได้ไปยังบ้านที่เกิดเหตุ

ซึ่งนักข่าวได้ไปเจอกับลูกสาวคนโตของยายชื่อว่าคุณ ดวงฤดี  โดยทางคุณดวงฤดี เล่าให้นักข่าวฟังว่า น้องชายติดยามายี่สิบปี โดยนายไพบูรณ์ติดยามาตั้งแต่สมัยยังหนุ่มๆ ซึ่งเมื่อก่อนนายไพบูรณ์มีอาชีพขับรถบรรทุก และหากตอนไหนที่เสพยาก็มักจะขู่ทำร้ายแม่ของตัวเอง ทำให้แม่เสียใจมาก และในวันที่เกิดเหตุนายไพบูรณ์หลอนยา

แล้วก็คิดว่าแม่จะฆ่าตัวเอง พอเห็นแม่นั่งหันหลังทำกับข้าวอยู่ก็เลยไปหยิบเสียมมาตีแม่ และหลังจากนั้นก็ใช้มีดแทงแม่ไปหลายแผล ซึ่งยายป้อได้พยายามร้องขอความช่วยเหลือแต่ไม่มีใครได้ยิน จนยายตาย และเมื่อยายตายแล้ว นายไพบูรณ์ก็ได้เดินไปที่หน้าบ้านและตะโกนเรียกชาวบ้านให้มาดูว่าแม่ตายแล้ว โดยนางดวงฤดีบอกว่ารู้สึกเสียใจมากที่น้องชายฆ่าแม่แล้ว

ยังเรียกคนอื่นมาดูผลงานของตัวเองที่ฆ่าแม่ได้ ตนเองมาเห็นสภาพแม่นอนจมกองเลือดทำให้ทำใจยอมรับไม่ได้ ตำรวจมาจับน้องตนเองไปก็อยากให้ตำรวจพาน้องไปบำบัดยาด้วย เพราะยังไงก็เป็นพี่น้องกัน  และหลังจากที่ตำรวจจับตัวนายไพบูรณ์ไปแล้ว และนำตัวไปสอบสวนได้มีการสอบถามว่าฆ่าแม่ทำไม เจ้าตัวให้การว่า ตัวเขาเคยไปทำงานที่ประเทศคูเวตได้

ส่งเงินมาให้แม่ ห้าแสน หลังจากนั้นก็เดินทางกลับมาอยู่บ้าน ซึ่งพอมาอยู่บ้านขอเงินแม่ใช้แม่ก็ไม่ยอมให้ ให้ไปขอสาวให้หน่อยแม่ก็ไม่ยอมไป โดยแม่อ้างว่าเงินที่นายไพบูรณ์ส่งมาให้นั้นเอาไปแต่เมียให้น้องหมดแล้ว เหลือเงินแค่ 300 บาททำให้นายไพบูรณ์เคืองเรื่องนี้มาตลอด วันเกิดเหตุสบโอกาสที่ตัวเองนั่งกินบะหมี่ต้มอยู่แล้วเห็นแม่นั่งอยู่ใกล้ๆจึงได้ลงมือ เพราะหากตัวเองไม่ลงมือ แม่ก็จะต้องลงมือฆ่าเขา ทำให้เขาต้องลงมือก่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เตรียมดำเนินคดีกับนายไพบูรณ์ต่อไป

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  next88