ชายแคนาดาคลั่งตระเวนขับรถกระบะยิงคนเสียชีวิต

ชายแคนาดาคลั่งตระเวนขับรถกระบะยิงคนเสียชีวิตไปถึง 16 ศพภายในเวลาแค่ 12 ชั่วโมง 

             เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ประเทศแคนาดาเกี่ยวกับมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากภายในเวลาแค่เพียง 12 ชั่วโมงจากฆาตกรคนเดียวกันนั้นเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 18  เดือน เมษายนปีพ.ศ. 2563 แต่เพิ่งมาเป็นข่าวโด่งดังเมื่อวันที่ 20 เดือนเมษายนปีพ.ศ. 2563

ซึ่งตามรายงานข่าวแจ้งว่าเมื่อวันที่ 18 เดือนเมษายนนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุมีผู้เสียชีวิตภายในบ้านพักภายในเขตพื้นที่ชนบทเมืองพอร์ทาปิเก  และเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปถึงก็พบว่ามีผู้เสียชีวิตภายในบ้านพักรวมถึงยังมีบ้านหลายหลังที่ถูกจุดไฟเผาไหม้ ซึ่งเมื่อมีการตรวจสอบข้อมูลดูก็พบว่ามีหลายหลังที่มีเจ้าของบ้านเสียชีวิตและหลังถูกไฟไหม้

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พยายามศึกษาหาว่าฆาตกรที่กระทำการดังกล่าวนั้นเป็นใครจนมาพบว่ามีชายคนหนึ่งซึ่งเขาตะเวนขับรถกระบะไปทั่วในเขตเมืองหลังจากนั้นก็นำอาวุธปืนยิงคนอื่นๆมีอาการคลั่งทั้งที่บุคคลที่เขายิงนั้นก็ไม่ได้รู้จักกับเขาเลย

ซึ่งมีผู้เสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 16 คนด้วยกันโดยมีผู้เสียชีวิตมีทั้งคนธรรมดาเจ้าหน้าที่ตำรวจรวมถึงคุณแม่ลูกสองโดยหลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบว่าผู้ก่อเหตุเป็นใครก็ได้มีการติดตามเพื่อทำการจับกุมแต่ทางผู้ร้ายได้มีการยิงตอบโต้จึงทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องยิงสกัดและทำการวิสามัญเป็นผู้ร้ายเสียชีวิต

ต่อมาทราบชื่อคนร้ายว่าชื่อนาย  กาเบรียล  เวิร์ธแมน เขามีอาชีพเป็นช่างทำฟันปลอมซึ่งตอนนี้อายุของเขาอยู่ที่ 51 ส่วนสาเหตุที่เขาก่อเหตุกราดยิงคนไปทั่วบุคคลที่เขายิ่งนานไม่ได้รู้จักเขาเลยนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่สามารถหาเหตุผลได้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไรซึ่งทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจจะต้องมีการเรียกสอบทางญาติของผู้ก่อเหตุเพื่อมาสอบหาข้อมูลอีกครั้งก่อน

จะมีการประกาศถึงเหตุผลที่ฆาตกรได้ทำลงไปนั้นเพราะอะไรกันแน่เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่าตัวฆาตกรได้มีการดัดแปลงรถของตนเองให้มีความคล้ายคลึงของเจ้าหน้าที่ตำรวจและออกตะเวนขับรถไปทั่วตามท้องถนนเมื่อเห็นใครก็ทำการหญิงเหตุการณ์ในครั้งนี้สร้างความสะเทือนใจให้กับผู้คนในเมืองเป็นอย่างมากเพราะว่าถือว่าเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นครั้งแรกที่ประชาชนพลเมืองนี้เพิ่งเคยเจอทางด้านนายกรัฐมนตรีเอ็งก็แสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้

        ช่วงนี้หลายคนเกิดความเครียดทั้งเรื่องของอากาศที่ร้อนจนเกินไปรวมถึงจะมีปัญหาด้านการเงินเศรษฐกิจและรายคนถูกกักตัวอยู่แต่ในบริเวณบ้านหรือในพื้นที่เมืองไม่สามารถทำอะไรได้ตามใจชอบดังนั้นจะเห็นได้ว่าคนส่วนใหญ่จึงมักเกิดความเครียดและบางครั้งอาจจะเกิดอาการคุ้มคลั่งจะทำการอะไรไปโดยที่ไม่รู้ตัว

 

สนับสนุนโดย  next88

สามีภรรยาถูกหวย 12 ล้านหลังจากขึ้นเงินเสร็จ พบสามีหอบเงินหนีหาย

           เมื่อวันที่ 30 เดือนพฤษภาคมพศ2563 ช่วงเวลาประมาณใกล้เที่ยง  แม่หญิงสาวคนหนึ่งอายุประมาณ 45 ปีได้เดินทางมาที่สำนักงานทนายความของทนายรณณรงค์แก้วเพ็ชร์

  เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมต้องการให้ทนาย รณรงค์เข้าทำการช่วยเหลือโดยเธอได้มีการให้ข้อมูลกับทนายความว่าเธอนั้นอยู่กินกับแฟนหนุ่มมาประมาณ 2 ปีแล้วซึ่งเธอและแฟนหนุ่มนั้นอยู่ด้วยกันเหมือนสามีภรรยาทั่วไปเพียงแต่ไม่ได้จดทะเบียนกันไม่อยู่มาวันหนึ่งเธอและแฟนหนุ่มของเธอนั้นขับรถไปเที่ยวที่ต่างจังหวัดหลังจากนั้นก็มีการซื้อลอตเตอรี่มาจำนวน 5 ใบผลปรากฏว่าลอตเตอรี่ดังกล่าวนั้น

ถูกรางวัลที่ 1 จำนวน 2 ใบซึ่งได้รับเงินรางวัลเป็นเงิน 12 ล้านบาทเธอให้ข้อมูลว่ารถเตอรี่ดังกล่าวนั้นเธอเป็นคนออกค่าใช้จ่ายในการซื้อเองทั้งหมดเพียงแต่ว่าฝากให้สามีเป็นคนพิเศษครอบครองเอาไว้

ซึ่งโดยปกติแล้วเธอและสามีก็ซื้อลอตเตอรี่แบบนี้เป็นประจำและก็จะฝากให้สามีเป็นคนเก็บเงินเป็นประจำอยู่แล้วสำหรับลอตเตอรี่งวดที่เธอถูกนั้นเป็นงวดประจำวันที่ 1 กุมภาพันธ์ปีพศ. 2563 ซึ่งหลังจากที่ถูกลอตเตอรี่แล้วสามีของเธอนั้นก็ได้นำลอตเตอรี่ไปทำการขึ้นเงินที่กองสลากกินแบ่งรัฐบาลที่จังหวัดนนทบุรีหลังจากนั้นก็กลับมาอยู่บ้านแล้วนำเงินบางส่วนมาให้เธอเอาไปใช้หนี้แต่เงินส่วนใหญ่นั้น

ก็ยังคงอยู่กับสามีจนเวลาผ่านไปประมาณ 2 เดือนสามีของเธอได้บอกว่าจะขอกลับไปเยี่ยมบ้านที่ต่างจังหวัดหลังจากนั้นสามีของเธอก็ออกจากบ้านและเธอก็ไม่สามารถติดต่อสามีของเธอได้อีกเลยไม่ว่าจะติดต่อทางโทรศัพท์มือถือหรือทาง LINE ก็ถูกบล็อคหมดทำให้เธอเริ่มมั่นใจแล้วว่าสามีของเธอนั้นกำลังจะทิ้งเธอและนำเงินที่ถูกหวยไปด้วย

เธอจึงได้เข้ามาติดต่อให้ทนายความช่วยให้ทำการช่วยเหลือเพราะเธอไม่มั่นใจว่าหากไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันแล้วเธอจะสามารถเอาเงินส่วนนั้นมาใช้ได้หรือไม่เบื้องต้นนั้นเธอได้มีการให้ข้อมูลว่าเธอทำงานเป็นพนักงานบริษัทขายของส่วนสามีของเธอนั้นก็ทำงานขับรถแท็กซี่ซึ่งก่อนหน้านั้นก็เคยรักและอยู่ด้วยกันดีมาโดยตลอดแต่พอมาถูกรางวัลที่ 1 นั้น

สามีของเธอก็เปลี่ยนไปอีกทั้งยังออกเงินรางวัลที่ได้นั้นไปหมดและไม่ได้แบ่งให้เธอเลย อย่างไรก็ตามปัญหาดังกล่าวนี้ทนายรณรงค์ได้มีการแนะนำให้หญิงสาวคนดังกล่าวนั้นไปรวบรวมหาหลักฐานเพิ่มเติมมาให้ได้เกี่ยวกับเรื่องของการซื้อลอตเตอรี่

และการถูกรางวัลซึ่งหากมีหลักฐานต่างๆเหล่านี้ทนายความยืนยันว่าเงินที่ถูกลางวันนั้นสามารถที่จะแบ่งกันได้คนละครึ่งโดยที่ทั้งคู่ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนสมรสกันก็ได้

 

สนับสนุนโดย  บาคาร่าsagame

แม่ค้าขายขนมจีบความจริงแล้วว่ารับขนมจีบมาจากที่อื่น 

จากข่าวที่เพิ่งเกิดขึ้นล่าสุดนั่นก็คือเรื่องของที่มีแม่ค้าผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเธอได้ทำการขายขนมจีบโดยการนั่งรถมอเตอร์ไซค์แนะนำขนมจีบมาขายข้างทางได้มีคุณยายคนหนึ่งมีอายุประมาณ 60 ปีซึ่งคุณยายคนนี้เป็นหนึ่งในคนที่ได้ทำการซื้อขนมจีบ

จากผู้หญิงคนที่ขายข้างทาง ซึ่งหลังจากนั้นผ่านไปไม่นานผู้หญิงคนนั้นหรือก็คือคนแก่คนนั้นได้เริ่มท้องเสียมากขึ้นจนสุดท้ายก็ได้เสียชีวิตลงไปตำรวจได้พยายามค้นหาว่าใครที่ซื้อบ้านแล้ว

หาข้อมูลได้ก็ไปหาคนที่ซื้อขนมจีบคนที่ซื้อขนมจีบจากแม่ค้าคนเดียวกันนั้นก็บอกว่าตนก็ท้องเสียเช่นเดียวกันแต่ไม่ได้ถึงตายซึ่งทางตำรวจได้ไปสัมภาษณ์และได้ไปสอบถามพ่อของผู้หญิงที่ขายขนมจีบซึ่งพ่อของผู้หญิงที่ขายขนมจีบนั้นบอกว่าลูกสาวของเขานั้นเป็นคนที่ขายขนมจีบมานานมากแล้วมากกว่า 1 ปีด้วยซ้ำ

ซึ่งจริงๆแล้วลูกสาวของเขาไม่ได้เป็นคนทำขนมจีบขึ้นมาเองแต่เธอได้ไปซื้อขนมจีบและน้ำจิ้มขนมจีบมาจากร้านแห่งหนึ่งที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ปีด้วยซ้ำซึ่งจริงๆแล้วลูกสาวของเขาไม่ได้เป็นคนทำขนมจีบขึ้นมาเองแต่เธอได้ไปซื้อขนมจีบและน้ำจิ้มขนมจีบมาจากร้านแห่งหนึ่งที่จังหวัดฉะเชิงเทราไม่มีวันไหนเลยที่เธอ ทำขนมด้วยตัวเองมักจะไปซื้อของจากร้านที่จังหวัดฉะเชิงเทราทุกๆครั้งปกติจะขายหมด

ตั้งแต่ช่วงนี้ยังไม่ถึง 13:30 เขายืนยันว่าเธอไม่ได้ใส่สารผิดอย่างแน่นอน หลังจากที่ตำรวจได้รับฟังก็ยังไม่ค่อยเชื่อใจสักเท่าไหร่ดังนั้นจึงได้ทำการตรวจดูขนมจีบอย่างเคร่งครัดและละเอียดอ่อนจนสุดท้ายก็สามารถเห็นว่าไม่มีสารอันตรายอยู่ในน้ำจิ้มของขนมจีบแม่ค้าคนที่ขายนั้นก็ได้บอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนใส่เอง

ซึ่งเธอนั้นรับมาจริงๆและไม่ได้ดัดแปลงอะไรเลยเพื่อนฉันจะเข้าถึงอันใหม่แล้วค่อยนำไปขายซึ่งนอกจากนั้นเธอยังบอกอีกว่าจริงๆแล้วเธอก็ได้รับประทานน้ำจิ้มและขนมจีบเข้าไปแล้วเช่นกันซึ่งเธอก็ได้อาการท้องเสียแล้วเหมือนกัน

แต่ว่าเธอก็นำยางไปขายต่อเพราะคิดว่าอาจจะเป็นเพราะตัวเองท้องไส้ไม่ดีมาตั้งนานแล้วจึงคิดว่าอาจจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับน้ำจิ้มและขนมจีบของตัวเองที่จะนำไปขายดังนั้นจึงนำไปขายต่อและตัวเองได้บอกอีกว่าไม่ได้รู้จริงๆว่ามีสารอันตรายอยู่ในขนมจีบของตัวเอง

ซึ่งเธอได้ยินยันว่าเธอจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้วแล้วก็จะไปขอขมาครอบครัวของคุณยายที่ได้เสียชีวิตลงซึ่งตอนนี้เธอก็กำลังรอให้ศาลพิพากษาว่าเธอจะโดนรับโทษแบบไหนค่ะ

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  bk888

พนักงานสาวการบินไทยตัดสินใจกระโดดตึกตาย

เครียดไม่มีเงินใช้ งานก็ไม่ได้ไปทำเพราะพิษโควิด-19  พนักงานสาวการบินไทยตัดสินใจกระโดดตึกตาย

           รายงานแจ้งไปที่สถานีตำรวจ สน. ลาดกระบังมีหญิงสาวคนหนึ่งได้ทำการกระโดดตึกฆ่าตัวตายโดยเธอร่วงลงมาจากชั้น 7 ของคอนโดหลังจากทราบเรื่องทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและมูลนิธิปอเต็กตึ้งก็พากันเดินทางไปยังจุดที่เกิดเหตุ

ซึ่งที่นั่นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพบศพนางสาวแหม่มนอนเสียชีวิตอยู่ตรงบริเวณทางเท้าด้านข้างของคอนโดจากการสอบถามผู้คนที่อยู่ในจุดเกิดเหตุทราบว่าหญิงสาวพักอาศัยอยู่ที่คอนโดดังกล่าวซึ่งอยู่อาคารบี โดยเธออาศัยอยู่ที่ห้องเพียงคนเดียวในขณะที่กำลังสอบถามผู้เห็นเหตุการณ์

คนอื่นอยู่นั้นก็มีพ่อของนางสาวแหม่มเดินมาให้ข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยคุณพ่อของผู้เสียชีวิตแจ้งว่าตนเองอยู่คนละที่กับลูกสาวซึ่งไม่สามารถติดต่อลูกสาวได้หลายวันจึงทำให้เกิดความเป็นห่วงวันนี้จึงได้เดินทางมาเยี่ยมลูกสาวถึงที่คอนโด

แต่เมื่อมาถึงห้องพักกับพบว่าลูกสาวล็อคกุญแจจึงได้เคาะประตูเรียกและตะโกนเรียกแต่ลูกสาวก็ไม่มาเปิดจึงได้ทำการนำกุญแจสำรองไขเข้าไปเมื่อเปิดประตูไปถึงก็เห็นว่าลูกสาวพุ่งตัวกระโดดลงจากคอนโดเรียบร้อยแล้วซึ่งห้องของลูกสาวนั้นอยู่ชั้น 7

โดยลูกสาวอยู่ภายในห้องคนเดียวเนื่องจากว่าลูกสาวมีแฟนแต่เพิ่งเลิกกันไปได้ประมาณ 1 เดือนโดยลูกสาวทำงานเป็นพนักงานอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิเลยทำงานอยู่ในไปการโดยสารของการบินไทยของบริษัทวิงสแปนซึ่งตอนนี้ลูกสาวมีปัญหาเรื่องของความเครียดที่ทางบริษัทให้หยุดงาน

เนื่องจากปัญหาของไวรัสโคโรนาทำให้ไม่มีเงินเดือนมาเป็นค่าใช้จ่ายเท่าที่ควรห้องของลูกสาวดูก็พบว่ามีการกู้ยืมเงินกับใครบางคนไว้เป็นเงิน 5,000 บาท

ซึ่งทางพ่อของผู้เสียชีวิตและทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเองต่างก็สันนิษฐานกันว่าเธอน่าจะมีปัญหาเรื่องของเงินที่จะเอามาเป็นค่าใช้จ่ายในช่วงที่ไม่ได้ทำงานและเมื่อตัดสินใจไม่ได้เธอจึงได้คิดสั้นกระโดดตึกฆ่าตัวตาย

          เหตุการณ์ที่ผู้คนฆ่าตัวตายเพราะไม่มีเงินใช้ในช่วงไวรัสระบาดนี้ไม่ใช่เคสแรกนี่เป็นเคสที่เรียกได้ว่าเป็นเคสที่ร้อยที่พันเลยก็ว่าได้ที่มีคนฆ่าตัวตายจากปัญหาไม่มีเงินใช้ไม่มีงานทำในช่วงที่ไวรัสระบาดซึ่งถึงแม้จะมีเงินเยียวยาจากตั้งรัฐบาลมาช่วยเหลือแต่ทุกคนก็ไม่ได้เท่าเทียมกันหมดบางคนได้บางคนไม่ได้และส่วนใหญ่คนที่เดือดร้อน

เรื่องของเงินจริงๆนั้นมักจะไม่ได้เงินเยียวยาแล้วตอนนี้การแจกเงินช่วยเหลือประชาชนก็ค่อนข้างเข้มงวดและใช้ระยะเวลานานซึ่งหลายคนไม่สามารถรอได้เพราะยังมีความจำเป็นต้องจ่ายค่ากินค่าเช่าห้องค่าน้ำค่าไฟกันอยู่เมื่อหาทางออกไม่ได้หลายคนจึง

ค่าตัวตายซึ่งหากนับจำนวนผู้เสียชีวิตจากปัญหาความเครียดที่เกิดจากการระบาดของโรคไวรัสโคโรน่าในครั้งนี้น่าจะเป็นหลักพันได้เลยทีเดียว

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย  ทางเข้าdewabet

วันนี้มีคดีใหญ่ที่เกิดขึ้นที่จังหวัดพิษณุโลก

ดับสลดยกครัว 5 ศพพร้อมหมาอีก 6 ตัวด้วยวิธีกินยาพิษและรมควันตัวเอง

วันนี้มีคดีใหญ่ที่เกิดขึ้นที่จังหวัดพิษณุโลก เป็นเหตุการณ์ที่น่าเศร้าเพราะว่ามีเหตุการณ์ครอบครัวหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลกก่อเหตุซดยาพิษและรมควันตัวเอง เสียชีวิตกันทั้งครอบครัวรวมกันแล้ว 5 ศพและยังมีสุนัขอีก 6 ตัวซึ่งทั้งหมดเสียชีวิตในห้องเดียวกันทั้งหมด

โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภอ. เมืองพิษณุโลกได้รับแจ้งเหตุว่าเจ้าของเต็นท์รถกัณตภณออโต้รมควันพร้อมกับสมาชิกทุกคนในครอบครัวเสียชีวิตรวม5 ศพและยังมีสุนัขอีก 6 ตัวในบ้านพักเลขที่ 114 หมู่ 1 ซึ่งทั้ง 5 ศพมี ร.ต.ต. กัณตภณ แป้นวงศ์  หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าเฮียตี๋ซึ่งเจ้าเป็นของเต้นท์รถกัณตภณออโต้

และยังมีนางยอดขวัญ แป้นวงศ์เป็นภรรยาของ ร.ต.ต. กัณตภณ และยังมีนางสุนิตา แป้นวงศ์แม่ของ ร.ต.ต. กัณตภณ และนาวสาว สุธิพร แป้นวงศ์ พี่สาวของร.ต.ต. กัณตภณ และคนสุดท้าย เด็กชาย รชฎ แป้นวงศ์ลูกชายของ ร.ต.ต. กัณตภณ ซึ่งมีอายุเพียงแค่ 13 ปีเท่านั้นเอง ซึ่งร.ต.ต. กัณตภณ เคยรับราชการตำรวจมาก่อนก่อนที่จะมาเปิดร้ายขายรถยนต์ดังกล่าว พร้อมกันนั้นก็มีสุนัขอีก 6 ตัว

ซึ่งห้องที่เกิดเหตุนั้นเป็นห้องนอนของแม่ของเฮียตี๋ ซึ่งเป็นห้องนอนขนาดใหญ่ จากการสอบสวนเบื้องต้นสาเหตุน่าจะมาจากเรื่องหนี้สินของครอบครัวเฮียตี๋ ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่าเหตุการเศร้าสลดในครั้งนี้คนในครอบครัวน่าจะยินยอมพร้อมใจกันฆ่าตัวตายไปพร้อมกันยกเว้นลูกชายวัย 13 ขวบคนเดียวเท่านั้นที่อาจจะไม่รู้เรื่องนี้ด้วย

ซึ่งมีการคาดเดากันเอาไว้ว่าในตอนแรกพี่สาวของเฮียตี๋น่าจะไม่ได้ฆ่าตัวตายด้วยเพราะมีการค้นพบโน๊ตที่ทางเฮียตี๋มีการบันทึกไว้ในโทรศัพท์มือถือ ว่าเฮียตี๋ได้คิดที่จะฆ่าตัวตายทั้งครอบครัวแล้วแต่คิดถึงพี่สาวกลัวว่าพี่สาวจะต้องมาลำบากไปด้วยเฮียตี๋จึงคิดที่จะหาเงินมาสักก้อนเพื่อให้พี่เอาไว้ใช้จ่าย ซึ่งบันทึกนี้มีการบันทึกเอาไว้วันที่ 12  กุมภาพันธ์ 2563

และมีบันทึกอีกครั้งในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 โดยเฮียตี๋ได้ตัดพ้อกับโชคชะตาว่าเขาคงไม่อยากให้เราอยู่จริงจริง และตอนนี้หมดหนทางแล้ว ชีวิตตันหมดแล้ว จึงมาเป็นเหตุการณ์เศร้าสลดแบบนี้โดยทางญาติเล่าให้นักข่าวฟังว่าพวกเขาติดต่อกับครอบครัวเฮียตี๋ได้ครั้งสุดท้ายวันที่ 19 กุมภาพันธ์ตอนเวลาประมาณ 5 ทุ่มแล้วก็ติดต่อไม่ได้อีกเลย

จึงได้พากันเดินทางมาดูที่บ้านซึ่งตะโกนเรียกแล้วก็ไม่มีใครตอบจึงได้ให้หลานปืนประตูเข้าไปเปิดประตูรั้วแล้วเมื่อเข้าไปในบ้านสภาพภายในบ้านก็ปกติดีแต่มีห้องของแม่ที่มีการล็อกประตูจึงได้ตัดสินใจถีบประตูเข้าไป จึงได้เห็นว่าทั้งหมดฆ่าตัวตายร่วมกันไปแล้ว