อาจารย์เครียดกลัวติดเชื้อไวรัสโคโรนาจึงหนีไปผูกคอตาย

 ที่จังหวัดนครนายกทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งความว่ามีคนพบศพชายคนหนึ่งเสียชีวิตจากสาเหตุการผูกคอตายที่บ้านพักเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปถึงพบกับผู้เสียชีวิตเป็นเพศชายมีข้อความเขียนไว้เกี่ยวกับสาเหตุการลาตายเอาไว้เรียบร้อยแล้วโดยใช้คนดังกล่าวตรวจสอบพบว่าเป็นครูสอนหนังสืออยู่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดนครนายก

ซึ่งในข้อความไลน์ระบุว่าตนเองกลัวที่จะติดเชื้อไวรัสโคโรน่าและไม่อยากที่จะไปแพร่เชื้อให้กดคนในครอบครัวจึงได้ทำการฆ่าตัวตายดังกล่าว เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบหลักฐานการตายเสร็จแล้วจึงได้นำศพของคุณครูคนดังกล่าวส่งโรงพยาบาลเพื่อให้ตรวจสอบว่าคุณครูที่เสียชีวิตนี้ได้มีการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าหรือไม่

และถ้าเกิดผลออกมาว่ามีการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าก็จะมีการติดตามประสานงานให้บรรดาญาติๆของคุณครูท่านนี้ทำการกักตัวเป็นระยะเวลา 14 วันเพื่อตรวจสอบว่ามีการติดเชื้อไวรัสโคโรน่ากับคุณครูมาหรือไม่เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด 

      สำหรับเหตุการณ์ที่คุณครูผูกคอเสียชีวิตในครั้งนี้คุณครูมีการระบุไว้ว่าเนื่องจากกลัวว่าจะมีการติดเชื้อไวรัสโคโรน่านั้นหากว่าเป็นความจริงก็เท่ากับว่าคุณครูตื่นตูมเกินกว่าเหตุเพราะจริงๆแล้วทางรัฐบาลเองก็ได้มีการประชาสัมพันธ์มาโดยตลอดว่าการติดเชื้อไวรัสโคโรน่านั้นสามารถรักษาให้หายได้ซึ่งเราก็พบเห็นอยู่ตามข่าวสารที่มีการออกทุกวันถึงจำนวนผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาระหว่างจำนวนคนที่หายกับกลุ่มคนที่ตายนั้นแตกต่างกันมากเพราะจริงๆแล้วคนที่ติดเชื้อและตายนั้นมีจำนวนน้อยมากในประเทศไท

ซึ่งถ้าจำไม่ผิดเพิ่งมีคนไปแค่เพียง 1 คนเท่านั้นเองดังนั้นสิ่งที่คุณครูคนนี้ทำเป็นการสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านที่เขาไม่ได้รับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับอาการของคนที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าว่าจริงๆแล้วอาการของการติดเชื้อไม่ได้น่ากลัวแต่อย่างใดเพราะก็เหมือนกับการเป็นไข้หวัดเพียงแต่ถ้าเกิดว่าใครสุขภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรงเชื้อไวรัสจะไปทำลายอวัยวะภายในได้เร็วขึ้นเท่านั้นเองแต่หากใครสุขภาพร่างกายแข็งแรงก็เท่ากับว่าคุณก็ยังสามารถรักษาให้หายขาดได้เพราะฉะนั้นรัฐบาล

อาจจะต้องมีการออกมาให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคไวรัสโคโรน่าเพื่อประชาชนจะได้ไม่ตื่นตูมและไม่เกิดเหตุเศร้าสลดเหมือนที่อาจารย์ที่จังหวัดนครนายกได้ทำอยู่ในขณะนี้ สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าในขณะนี้สำหรับประเทศไทย

แล้วถือว่ามีความทวีความรุนแรงขึ้นมากนักแต่สำหรับในเรื่องของการรักษาแล้วประเทศไทยยังถือว่ายังสามารถควบคุมไม่ให้ประชากรของตนเองเสียชีวิตได้ค่อนข้างดีดังนั้นประชาชนจึงไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวเกี่ยวกับการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าให้มากเกินไปนัก

ทหารไทยวางอาวุธหันมาจับถังน้ำยาฆ่าเชื้อฉีดฆ่าเชื้อไวรัสทั่วกรุงเทพฯ

      โดยปกติแล้วเราจะรู้ว่าทหารมีหน้าที่ปกป้องประเทศชาติคอยจับปืนต่อสู้กับเหล่าข้าศึกศัตรูที่จ้องจะมารุกรานประเทศชาติของเราด้วยในสมัยก่อนทหารจะจับดาบไว้ฟาดฟันกับศัตรูที่หวังจะมายึดครองประเทศต่อมาก็เปลี่ยนจากดาบมาเป็นปืน

ซึ่งเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแต่ในปัจจุบันที่ประเทศชาติไม่ได้มีปัญหาต้องรบราฆ่าฟันกับข้าศึกศัตรูที่ไหนแต่กำลังพบปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาทำให้เหล่าทหารไทยผู้หาญกล้าจำเป็นต้องวางดาบวางปืนแล้วหันมาจับกระบอกฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อเพื่อที่จะได้ฆ่าเชื้อโรคและฆ่าเชื้อไวรัสโคโรน่าให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทยโดยตอนนี้มีการเลิกดำเนินการที่แรกก็คือในเขตกรุงเทพฯโดยจะเน้นการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อไปตามจุดต่างๆ

ที่ประชาชนนิยมไปใช้บริการเช่นตามป้ายรถเมล์แถวบริเวณสถานีรถไฟลอยฟ้าและแถวบริเวณสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินซึ่งการดำเนินการนี้เป็นการสั่งการโดยนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชาโดยเริ่มมีการดำเนินการกันมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 มีนาคมปีพศ 2563 โดยมีกำหนดการที่จะมีการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในเขตกรุงเทพฯแบบนี้ทุกวัน

ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังทหารจะต้องออกปฏิบัติการตั้งแต่ช่วงเวลา 1:00 นลากยาวจนถึง 05:00 นซึ่งคาดว่าการกระทำในการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อนี้จะทำต่อเนื่องกันไปจนถึงวันที่ 31 มีนาคมหรืออาจจะจนกว่าจะสิ้นสุดปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า

      สำหรับวิธีการการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อตามสถานที่ที่มีคนหนาแน่นนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีแต่จริงๆแล้วมันสามารถช่วยได้แค่เพียงระดับหนึ่งเท่านั้นเองเพราะเนื่องจากว่าเมื่อเรามีการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อไปแล้วและมีคนที่ติดเชื้ออาจจะบักขี้มูกแล้วมาป้ายตรงจุดที่ทหารเคยมาฉีดยาฆ่าเชื้อตัวเชื้อโรคก็จะกลับมาอีกครั้งหนึ่งซึ่งถ้าใครมาโดนขี้มูกตรงจุดนั้นก็จะได้รับเชื้อไวรัสโคโรน่าไปทันทีดังนั้นการฆ่าเชื้อโดยการฉีดพ่นน้ำยาช่วงเวลา 01:00 นถึง 5:00 น

จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเพราะจริงๆแล้วการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุคือการค้นหาคนที่ติดเชื้อไวรัสทั้งหมดแล้วนำมารักษาเพื่อให้หายจะได้ไม่ไปแพร่เชื้อให้กับคนอื่นอีกซึ่งวิธีการที่ถูกต้องควรจะเปิดสถานที่ สามารถให้ประชาชนเข้ามาตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรน่าได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแล้วเมื่อคัดกรองแล้วว่าใครติดเชื้อก็นำตัวไปรักษาวิธีการนี้น่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าภายในประเทศไทยเพราะต่อให้เราฉีดพ่นไปมากแค่ไหนแต่ระหว่างวันมีคนที่ติดเชื้อและไม่ติดเชื้อเดินกันขวักไขว่ไปมายังไงเชื้อก็สามารถส่งต่อถึงกันได้อยู่ดี

สาว อบต. ลพบุรี ถูกหัวหน้างานลวนลาม

 มีน้องผู้หญิงคนนึงชื่อว่าน้องน้ำ โดยเรื่องราวของเธอถูกเผยแพร่ออกมาผ่านทาง facebook จากชมรมคนไม่กลัวผู้มีอิทธิพล โดยในเพจมีการระบุเอาไว้ว่า น้องน้ำคนดังกล่าวต้องการที่จะหลบหัวหน้างานแล้วน้องน้ำทำงานอยู่ที่ อบต.แห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี

แล้วถูกลูกพี่พยายามจะเข้ามาปล้ำ ซึ่งมีคลิปวีดีโอโพสต์ลงไปประกอบกับคำบรรยายในเพจด้วยซึ่งในคลิปจะเห็นว่าหัวหน้าของน้องน้ำพยายามที่จะเข้าไปปล้ำน้องน้ำ โดยน้องน้ำได้เล่าถึงสาเหตุที่เข้ามาในห้องที่เกิดเหตุนี้และถูกหัวหน้าปกป้องว่าในวันดังกล่าวที่เกิดเรื่องเป็นวันที่ทางอบตมีการจัดงานแจกเสื้อให้กับชาวบ้านซึ่งมีลุงคนหนึ่งเป็นคนที่คุ้นเคยกับน้องน้ำดีเดินมาบอกน้องน้ำว่าหัวหน้าของน้องน้ำให้น้องน้ำไปประกาศเสียงตามสายบอกให้ชาวบ้านเดินทางมารับเสื้อ

ดังนั้นน้องน้ำจึงได้เดินเข้ามาในห้องประกาศเสียงตามสาย หลังจากนั้นปรากฏว่าลูกพี่ของน้องน้ำได้เดินตามเข้ามา แล้วก็ตรงเข้ามาทำการปลุกปั้นน้องน้ำซึ่งน้องน้ำก็พยายามขัดขืนหลังจากที่คลิปนี้มีการเผยแพร่ออกสู่สังคม Social ทำให้นักข่าวได้ทราบข่าวและลงเข้าไปในพื้นที่เพื่อไปสอบถามกับน้องน้ำผู้หญิงในคลิปดังกล่าวซึ่งน้องๆก็ได้ให้ข้อมูลกับนักข่าวว่าในวันดังกล่าวมีการจัดกิจกรรมแจกเสื้อให้กับชาวบ้าน

โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 มีนาคมปีพศ 2563 นี้เอง แล้วเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นดังในคลิปที่มีการเผยแพร่ออกไปนั่นเองไปให้ข้อมูลกับนักข่าวเหตุการณ์ในวันดังกล่าวน้องน้ำยังไม่ทันได้ถูกข่มขืนก็สามารถหนีรอดออกมาได้ก่อนแต่น้องน้ำไม่ได้มีการทำร้ายหรือตบตีทางลูกพี่แต่อย่างใดเนื่องจากว่าเกรงกลัวลูกพี่จะทำร้ายร่างกายเพราะโดยปกติแล้วลูกพี่ของน้องน้ำมักจะพกปืนติดตัวอยู่ตลอดเวลาดังนั้นในวันเกิดเหตุจึงได้ทำเพียงแค่วิ่งหนีออกมาจากจุดเกิดเหตุเท่านั้น แล้วก็มานั่งร้องไห้อยู่ด้านนอกซึ่งเธอเชื่อว่าเพื่อนๆที่อยู่ในบริเวณจุดเกิดเหตุน่าจะได้ยินเหตุการณ์แต่คงไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วยเพราะว่าลูกพี่เป็นคนที่มีอิทธิพลและเธอเชื่อว่าผู้หญิงหลายคนที่เคยทำงานอยู่ที่นี่น่าจะเคยถูกลูกพี่กระทำการข่มขู่บังคับขืนใจเช่นเดียวกันกับเธอเหมือนกันเจอเธอยังบอกด้วยว่าตลอดเวลาที่ทำงานอยู่ด้วยกันมาลูกพี่

คนนี้มักจะพูดจาลามกกับลูกน้องอยู่เสมอ และหลังจากเกิดเหตุการณ์แบบนี้เธอได้ไปทำการร้อง  อบต. และร้องศูนย์ดำรงธรรม แต่ก็ไม่มีเพื่อนร่วมงานคนไหนจะมาเป็นพยานให้กับเธอเลยเพราะทุกคนต่างก็เกรงกลัวอิทธิพลของนายก อบต. คนนี้กันมาก แต่เมื่อนักข่าวลงไปสอบถามคนงานที่ทำงานอยู่ในบ้านของนายกอบตคนดังกล่าวทุกคนต่างให้ข้อมูลเหมือนกันว่านายก อบต. เป็นคนดีและไม่มีใครเชื่อว่านาย อบต.

จะทำเช่นนั้นซึ่งหลายคนเชื่อว่านายกต้องถูกวางยาแน่นอนถึงมีอาการเช่นนั้นออกมาโดยทุกคนต่างก็บอกตรงกันว่าชาวบ้านและลูกน้องของนายก อบต. คนนี้ยังรักนายกกันทุกคนเพราะว่าเขาเป็นคนดี ซึ่งคงต้องรอผลการสอบสวนกันต่อไป

อาจารย์ราชภัฎขับรถชนสายตรวจ

ป้าแฉ อุบัติเหตุอาจารย์ราชภัฎขับรถชนสายตรวจไม่ได้มีใครทำร้ายอาจารย์

มีเหตุการณ์เป็นรถเก๋งชนกับรถของสายตรวจของ สภอ. พระประแดงแล้วรถเก๋งเสียหลักพุ่งชนลงข้างทาง ทำให้ตำรวจทั้งสองคนที่ขี่รถได้รับบาดเจ็บและยังมีคนที่อยู่ตรงบริเวณที่เกิดเหตุได้รับบาดเจ็บด้วยแต่ที่เรื่องไม่จบก็เพราะว่าชายคนที่ขับรถเก๋งได้โทรตามไปเรียกน้องสาวมาที่เกิดเหตุซึ่งเมื่อน้องสาวของอาจารย์ที่ขับรถเก๋งมาถึงก็โวยวายเจ้าหน้าที่ตำรวจ

โดยยืนยันว่าพี่ชายของตัวเองไม่ผิด ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้มีการถูกบันทึกคลิปเอาไว้จะเห็นได้ว่าน้องสาวของอาจารย์พยายามจะกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวพี่ชายไปเป่าตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ จึงพยายามยืนขวางและพยายามผลักเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งพอตำรวจพยายามดันตัวหญิงคนดังกล่าวออก

เธอก็ต่อว่าว่าทำตำรวจทำร้ายผู้หญิงและเธอจะฟ้อง  ซึ่งในที่สุดทางอาจารย์ราชภัฎก็ต้องเป่าวัดแอลกอฮอล์ เพราะหากไม่เป่าจะถือว่ามีความผิดและผลจากการตรวจวัดปริมาณ แอลกอฮอล์พบว่ามีค่าที่ตรวจวัดได้สูงถึง 161 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์

ซึ่งในทางกฎหมายแล้วมีการกำหนดให้ผู้ที่ขับขี่รถยนต์สามารถมีปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายได้ไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งหลังจากที่มีการเผยแพร่คลิปนี้ออกมา มีผู้คนต่างก็สงสัยกันว่าตำรวจได้ไปรังแกผู้หญิงคนดังกล่าวจริงหรือไม่ ซึ่งทางนักข่าวเองก็ได้ลงไปสัมภาษณ์คนที่อยูในเหตุการณ์ ชือว่าคุณ หมู โดยคุณหมูเล่าว่าตนเอง

ได้ยินเสียงรถเบรกเสียงดังสนั่นและหันไปมองก็เห็นตำรวจโดนรถชนจำนวน 2 คนที่สำคัญคุณหมูเองก็ยืนอยู่ตรงที่เกิดเหตุได้ทำการกระโดดหลบจนทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บไปด้วย เหตุการณ์ในครั้งนี้ทางคุณหมูได้ออกมายืนยันว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้กลั่นแกล้งแต่ตำรวจบาดเจ็บ และนักข่าวยังได้พบกับผู้บาดเจ็บอีกคนชื่อป้าอ๊อด

ซึ่งได้รับบาดเจ็บแขนขวาจนต้องเข้าเฝือก ซึ่งป้าอ๊อดได้เล่าเหตุการณ์ให้กับนักข่าวฟังและยังบอกอีกว่าทางฝั่งคนขับรถเก๋งยังไม่เคยมาขอโทษและป้ายังเห็นว่าน้องสาวของคนขับรถเก๋งเอาแต่โวยวายใส่ตำรวจ

ป้าบอกว่าผู้หญิงคนนี้พยายามที่จะขวางตำรวจไม่ให้เข้าใกล้พี่ชายเขาและผู้หญิงคนดังกล่าวยังโวยวายว่าตำรวจทำร้ายเขา แต่ป้าที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยยืนยันว่าป้าเห็นว่าตำรวจไม่ได้ทำร้ายอะไรพวกเขาเลย คนก่อเหตุเมา

  ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ล่าสุดทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้มีการแจ้งความกรณีกับน้องสาวของคนขับรถเก๋งแต่อย่างใด ซึ่งต้องมารอดูกันว่าเธอจะไปขอโทษกับเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่ ส่วนทางด้านพี่ชายของหญิงสาวคนดังกล่าวที่เป็นอาจารย์ก็ถูกเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีตามกฎหมาย

มีรายงานข่าวจากสำนักงานข่าวแห่งหนึ่ง

พ่อแม่ของเด็กนักเรียนเรียนเอกชน ติดหนี้ค่าเทอมที่ยังไม่ได้จ่ายสะสมกว่า 1.3 พันล้านบาทวอนรัฐบาลเร่งไขปัญหาเศรษฐกิจ

พ่อแม่ผู้ปกครองที่ส่งลูกหลานเรียนโรงเรียนเอกชน จำนวนสูงมากกว่าสองล้านครัวเรือน ยังคงไม่ได้จ่ายเงินค่าเทอมของบุตรหลานสูงถึงหนึ่งพันสามร้อยล้านบาท วอนให้รัฐบาลเข้ามาช่วยดูแลแก้ไขเพราะขนาดโรงเรียนเอกชนขนาดใหญ่ก็ยังมีปัญหาและมีหนี้สูงมากถึง 60-70 ล้านบาท

มีรายงานข่าวจากสำนักงานข่าวแห่งหนึ่งได้ออกมารายงานว่า

ได้รับข้อมูลมาจากนายกสมาคมคณะกรรมการประสานงานและส่งเสริมการศึกษาของภาคเอกชน โดยได้เข้าไปพูดคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับโรงเรียนเอกชนตอนนี้พบปัญหาว่าผู้ปกครองมีการค้างค่าเทอมกันมากขึ้น

โดยยอดรวมเงินที่ผู้ปกครองค้างค่าเทอมของปีนี้รวมเป็นเงินมากกว่า หนึ่งพันสามร้อยล้านบาทแล้ว ซึ่งข้อมูลของที่ผู้ปกครองของโรงเรียนเอกชนค้างค่าเทอมนี้ได้เอามาจากโรงเรียนเอกชนทั่วประเทศไทยซึ่งมีทั้งหมด สามพันแปดร้อยโรงเรียน

แต่ที่ไปเอาข้อมูลมาเพียงแค่ หนึ่งพันแปดร้อยโรงเรียนซึ่งถือว่าเยอะมากเพราะถ้าหากเอาข้อมูลของทั้งสามพันแปดร้อยโรงเรียนเมื่อไหร่ยอดเงินที่ผู้ปกครองค้างค่าเทอมจะต้องมากกว่านี้แน่นอนซึ่งแค่นี้ก็คิดเป็น 90 % แล้วที่ผู้ปกครองยังไม่ได้จ่ายค่าเทอมให้กับโรงเรียน แต่จากการสำรวจก็ยังคงพบว่าผู้ปกครองไม่ได้ย้ายให้บุตรหลานไปเรียนที่โรงเรียนอื่นยังคงให้เรียนหนังสืออยู่ที่เดิม

ซึ่งมีแค่ไม่มากเท่าไหร่ที่ให้ลูกหลานย้ายโรงเรียน โดยจากการตรวจสอบแล้วกลุ่มผู้ปกครองที่ให้ลูกหลานย้ายโรงเรียนมีหนี้ค้างที่ยังไม่ได้จ่ายค่าเทอมให้กับโรงเรียนสุงถึง สามร้อยล้านบาทเลยทีเดียว

  อันที่จริงเรื่องที่ผู้ปกครองนักเรียนมีการค้างค่าเทอมยังไม่ยอมจ่ายนั้นเป็นปัญหาที่มีมาเนิ่นนานแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิด แต่ว่าเมื่อก่อนมีคนค้างค่าเทอมน้อยกว่านี้เยอะมาก ซึ่งเมื่อก่อนไม่ได้มากแบบนี้ตอนนี้โรงเรียนเอกชนที่มีขนาดเล็กจะประสบกับปัญหาขาดทุนหาเงินมาบริหารโรงเรียนไม่ได้ แต่ถ้าเป็นโรงเรียนใหญ่ใหญ่ที่มีนักเรียนหลายพันคนหน่อยก็ยังพอที่จะเอาเงินอื่นมาหมุนใช้ก่อนได้จึงอยากให้รัฐบาลช่วยแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน

 ซึ่งปัญหาที่พ่อแม่เด็กไม่ได้มาจ่ายค่าเทอมนั้นมันแสดงให้เห็นว่าตอนนี้ ผู้ปกครองของเด็กเด็กส่วนใหญ่ไม่มีเงินกันเลย แม้กระทั่งเงินเก็บ บางคนอาจจะต้องเอาเงินที่จะต้องมาจ่ายค่าเทอมไปหมุนใช้จ่ายอย่างอื่นก่อน

ซึ่งทางโรงเรียนก็ไม่กล้าที่จะทวงผู้ปกครองมากนักเพราะกลัวว่าเด็กและผู้ปกครองของเด็กจะอาย ตอนนี้หลายครอบครัวน่าจะมีปัญหาด้านการเงินเพราะปัญหาของเศรษฐกิจ ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลช่วยหาทางแก้ไขปัญหานี้ให้ด้วย