โควิด-19 พ่นพิษ ทำคนตกงานป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเครียดจัดจนจุดไฟเผาตัวเอง

              ที่จังหวัดสุพรรณบุรีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุว่าที่หมู่บ้านดอนเจดีย์มีผู้ชายคนหนึ่งจุดไฟเผาตนเองจนถึงแก่ความตายซึ่งบริเวณที่พบศพนั้นอยู่บริเวณบ่อน้ำทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมกับคณะแพทย์พยาบาลของโรงพยาบาลดอนเจดีย์และมูลนิธิต่างๆ

จึงได้พากันเดินทางไปยังบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งเมื่อไปถึงก็พบผู้เสียชีวิตนอนเสียชีวิตอยู่ข้างบ่อน้ำใกล้กับบ้านของตนเองซึ่งผู้เสียชีวิตนี้อายุประมาณ 60 ปีเป็นคนพม่าทราบชื่อว่านายบาซูโดยสภาพของผู้เสียชีวิตนั้นถูกไฟเผาไหม้เกรียมจนไม่สามารถเห็นเขาของไปหน้าเดิมได้และที่ข้างๆศพก็มีขวดใส่น้ำมันจะมีขนาดประมาณ 5 ลิตร

ซึ่งคาดว่าจะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการจุดไฟเผาตนเองโดยเมื่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปถึงชาวบ้านก็พากันเอาผ้ามาคลุมศพไว้เรียบร้อยแล้วภรรยาของผู้เสียชีวิตได้เล่าให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจฟังว่าสามีของตนเองเป็นแรงงานต่างด้าวซึ่งเป็นแรงงานพม่าปกติแล้วทำงานอยู่ที่ประเทศไทยโดยจะมีการลงทะเบียนแรงงานต่างด้าวไว้ทุกๆปี

แต่มาในปีนี้ไม่สามารถต่อทะเบียนแรงงานต่างด้าวได้ซึ่งเป็นสาเหตุให้นายจ้างที่เคยทำงานด้วยกันอยู่ไม่สามารถตั้งสามีให้ทำงานได้จนสามีเกิดความเครียดต่อมาก็ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและในแต่ละวันก็มักจะมีการบ่นน้อยอกน้อยใจในโชคชะตาชีวิตรวมถึงบ่นเรื่องไม่มีเงินใช้แล้วทุกวันนี้สองสามีภรรยาจะต้องมีการส่งลูกอายุ 17 ปีและ 12 ปี

เรียนหนังสือซึ่งหลังจากที่นายบาซ่าได้มีการตกงานทำให้มีเงินส่งเสียลูกให้เรียนหนังสือทำให้ลูกสาวที่อายุ 17 ปีต้องลาออกจากโรงเรียนและมาช่วยทำงานยิ่งในสถานการณ์แบบนี้ที่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 งานก็ยิ่งหายากรายได้ที่จะมีมาให้กับครอบครัวหนึ่งไม่มียิ่งทำให้นายบาซ่าคิดมากโดยตั้งแต่ถูกไล่ออกจากงานมาไนท์บาซ่าและตนเอง

ก็ช่วยกันปลูกข้าวทำนาแต่รายได้ก็ไม่เพียงพอต่อการที่จะนำมาเลี้ยงครอบครัวโดยก่อนเกิดเหตุไนท์บาซ่ายังมีการพูดคุยกับคนในครอบครัวปกติไม่มีอาการของคนที่จะแสดงถึงความคิดสั้นมาก่อนช่วงเวลาประมาณเช้ามืดของวันนี้เห็นว่าสามีเดินออกไปที่ท้องนาซึ่งปกติ ออกไปดูไร่นาตั้งแต่เช้ามืดเป็นประจำทุกวันอยู่แล้วแต่หลังจากที่ผ่านไปนานแล้ว

สามีก็ยังไม่กลับเข้ามา สักทีเอ็งจะได้เดินออกไปตามหาสามีซึ่งเมื่อเดินไปถึงหนองน้ำก็พบว่าสามีตัวเองนอนเสียชีวิตสภาพการถูกไฟไหม้เรียบร้อยแล้วหลังจากนั้นจึงได้วิ่งไปตามให้เพื่อนบ้านมาช่วยเหลือและพากันโทรแจ้งความกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ

       ซึ่งเหตุการณ์การฆ่าตัวตายในครั้งนี้เกิดจากเรื่องปัญหาเศรษฐกิจของครอบครัวรวมถึงปัญหาในเรื่องของการเจ็บป่วยด้วยอาการโรคซึมเศร้าด้วยทำให้ผู้เสียชีวิตจึงมีการคิดสั้นได้ง่าย

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  bk8

ห้ามโพสต์รูปเบียร์ลงใน Facebook ถูกจับจริงปรับ 50,000 บาท

   มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้ออกมาแชร์ประสบการณ์ที่เขานั้นได้มีการไปโพสต์บอกเล่าเรื่องราวที่เขานั้นได้มีการไปโพสต์รูปเบียร์ซึ่งเขาระบุด้วยว่ามีพรบคุ้มครองเกี่ยวกับเรื่องของเครื่องดื่มและแอลกอฮอล์จึงเท่าไรมีการโพสต์รูปเบียร์หรือแม้แต่เขียนถึงเบียร์ก็ตามหรือบอกเล่าเรื่องราวของเบียร์ว่าเป็นยี่ห้ออะไร

คือถ้าโพสต์ข้อความอะไรที่เกี่ยวกับเบียร์แล้วบอกถึงยี่ห้อของเบียร์ชนิดนั้นๆก็จะทำให้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมทันทีและแน่นอนว่าการที่เราโพสต์แบบนี้ถือว่าเป็นความผิดทางกฎหมายซึ่งจะต้องถูกปรับอย่างตามนั้น 50,000 บาท

และยังทำให้เสียประวัติว่าเคยถูกจับกุมอีกด้วยโดยเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้มีการแชร์ประสบการณ์ของตนเองจากชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งมีการโพสต์ใน Facebook ส่วนตัวเมื่อวันที่ 7 เดือนมิถุนายนปีพศ2563 โดยเขาเล่าว่าเขาได้มีการโพสต์ภาพรูปเบียร์แล้วติดโลโก้ของเบียร์ยี่ห้อหนึ่งลงไป

ใน Facebook หลังจากนั้นเขาก็ได้รับจดหมายส่งตรงมาถึงเขาที่บ้านทันทีพร้อมทั้งให้เขาเดินทางไปพบกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและเมื่อเขาเดินทางไปตามนัดก็พบว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่าเขานั้นทำผิดพ. รบการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพราะเขานั้น

ได้มีการโพสต์ภาพและพจน์ยี่ห้อหรือโพสต์ชวนเพื่อนให้ไปดื่มแอลกอฮอล์ดื่มเบียร์ทำให้เขาถูกจับกุมและถูกปรับเงินทันทีเป็นเงิน 50,000 บาทอย่างไรก็ตามเขาได้พยายามต่อสู้คดีนี้โดยให้เหตุผลในเรื่องของการโพสต์ว่าเป็นการโพสต์ข้อมูลทั่วๆไปและไม่ได้มีเจตนาจะสื่อเชิญชวนให้ใครกินเบียร์ยี่ห้ออะไรแต่อย่างไรก็ตามเมื่อถึงศาลก็ตัดสินให้เขามีความผิดรวมถึงจะต้องมีเจ้าหน้าที่ควบคุมความประพฤติมาเยี่ยมเยียนของเขาที่บ้านและที่สำคัญ

เขาจะต้องมีการไปเป็นอาสาทำความดีเพราะเขาถูกรอลงอาญาประมาณ 1 ปีซึ่งเขาบอกว่าเพียงแค่โพสต์เล่นสนุกๆแค่นั้นก็ทำให้เขาต้องเสียประวัติว่าเขาเคยมีประวัติติดคุกรวมถึงเขาต้องเสียทั้งเงินเสียทั้งเวลาที่ไปทำเรื่องถึงโรงถึงศาลอีกด้วย

อย่างไรก็ตามเขาได้มีการใช้ข้อมูลบอกเพื่อนในโลกโซเชียลว่าให้ทุกคนนั้นระวังเรื่องของการโพสต์ข้อมูลในโลก Facebook ให้ดีเพราะหลายคนคงอาจจะไม่รู้ว่ามีกฎหมายคุ้มครองเรื่องของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งตัวเขาเองก็คือหนึ่งในนั้นที่ไม่รู้ข้อความและในที่สุดนั้นเขาก็ถูกจับกุมและต้องเสียเงินถึง 5 หมื่นกว่าบาทเลยทีเดียวอย่างไรก็ตาม

สิ่งที่มีการคุ้มครองนั้นเราจะต้องไม่พ้นเชิญชวนให้ใครมาดื่มเบียร์รวมถึงไม่ระบุยี่ห้อของเบียร์และห้ามโพสต์แก้วเบียร์หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวกับเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ทั้งหมดเพราะถ้าหากทางกระทรวงไอทีจับได้ว่าเรามีการโพสต์ข้อความเหล่านี้ลง Facebook พวกเขาก็จะส่งเอกสารและหมายศาลส่งมาถึงบ้านเราในทันทีและเราก็จะกลายเป็นผู้ที่ทำความผิดและมีคดีติดตัวทันทีเช่นเดียวกัน

 

สนับสนุนโดย  bk8

มิติใหม่แห่งการขายของด้วยการไลฟ์สด

มิติใหม่แห่งการขายของด้วยการไลฟ์สดเมื่อแม่ค้าแต่งหน้าผีขายเสื้อผ้ามือสอง

          กำลังเป็นที่ฮือฮาในโลกออนไลน์เป็นอย่างมากเกี่ยวกับการขายสินค้ามือสองของแม่ค้าคนหนึ่งซึ่งเธอได้สร้างปรากฏการณ์และมิติใหม่ของการขายของด้วยการแต่งหน้าผีมาขายของโดยเธอนั้นเป็นแม่ค้าขายของออนไลน์ซึ่งเธอจะรับเสื้อผ้ามือสองมาจากโรงเกลือแล้ว

นำมาไลฟ์สดในการขายของโดยปกติแล้วเสื้อผ้าของเธอในการไลฟ์สดขายของนั้นมักจะมีลูกค้าที่เข้ามาซื้อและมาชมการไลฟ์ขายของเธอเพียงครั้งละ 40-50 คนเท่านั้นแต่หลังจากที่เธอมีการเปลี่ยนแปลงสไตล์การแต่งตัวในการขายของเธอคนปรากฏว่ามียอดคนที่เข้ามาติดตามชมเธอไลค์ขายของกันเยอะมากและสินค้าของเธอ

ก็ขายได้มากเช่นเดียวกันด้วยเหตุการณ์ในครั้งนี้แม่ค้าขายของที่กำลังเป็นกระแสพูดถึงอยู่ในขณะนี้ได้ออกมาถึงแนวความคิดในเรื่องของการแต่งหน้าผีไลฟ์สดในการขายเสื้อผ้ามือสองว่าอันที่จริงแล้วเธอขายของตามปกติของเธอซึ่งวันนึงก็จะขายได้ไม่มากนักเท่าไหร่เธอเป็นแม่ค้าขายเสื้อผ้ามือสองซึ่งเธอจะไปรับมาจากตลาดโรงเกลือหรือแม้บางครั้งก็จะมีเพื่อนๆ

ที่รู้จักกันนำเสื้อผ้าคนที่เสียชีวิตแล้วมาให้เธอขายดังนั้นด้วยความกลัวที่ว่าเสื้อผ้ามือสองเรานั้นอาจจะเป็นเสื้อของคนตายเธอจึงนำเสื้อผ้ามือสองทุกตัวไปที่วัดเพื่อให้พระทำการบังสกุลให้อย่างไรก็ตามในวันแรกที่เธอแต่งหน้าผีขายเสื้อผ้ามือสองนั้นเธอไม่ได้ตั้งใจที่จะแต่งหน้าผีเพียงแต่ว่าวันนั้นน้ำประปาที่บ้านไม่ไหลเธอ

ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยแต่งหน้าผีซะเลยหลังจากที่เธอแต่งหน้าผีนั้นจากคนที่ดูอยู่ที่ประมาณ 50 คนพบว่าในวันดังกล่าวนั้นยอดคนที่เข้ามาดูเธอนั้นมากถึง 4000 คนเลยทีเดียวและที่สำคัญในวันนั้นเธอสามารถขายเสื้อผ้ามือสองของเธอได้เยอะมาก

โดยในข้อความที่เธอไลฟ์สดขายของนั้นมักจะบอกกับลูกค้าว่าเสื้อผ้าทุกตัวนั้นเป็นของคนตายและไม่จำเป็นที่ลูกค้าก็ต้องกลัวเนื่องจากสภาพครอบครัวของเธอนั้นสะพานการบังสกุลใบเรียบร้อยแล้วดังนั้นคนตายจะไม่มาส่งเสื้อผ้าอย่างแน่นอน

ซึ่งนี่คือมิติใหม่ของการขายเสื้อผ้ามือสองเพราะหลังจากที่เธอออกแนวการแต่งตัวแบบนี้รวมถึงการพูดจาแบบนี้ผลปรากฏว่าเสื้อผ้ามือสองของเธอนั้นขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลยทีเดียวและหลังจากนั้นเป็นต้นมาเธอก็เปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวในการถ่ายของเธอมาเป็นการแต่งหน้าผีซึ่งเธอจะมีการปรับเปลี่ยนการแต่งหน้าของเธออยู่เรื่อยๆเพื่อไม่ให้ลูกค้านั้นขนาดซ้ำซากจำเจและหลังจากนั้นก็ทำให้โลกออนไลน์นั้นได้มีการพูดถึงการไรท์ขายเสื้อผ้ามือสองของเธอ

เดินเพ่นพ่านมันไปทั่วนั่นเองอย่างไรก็ตามเธอได้มีการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการขายเสื้อผ้ามือสองของเธอด้วยว่าในช่วงแรกๆนั้นเธอเคยพบเกี่ยวกับเรื่องของควันซึ่งเธอคิดว่าน่าจะเป็นวิญญาณของเจ้าของเสื้อหรืออาจจะเป็นวิญญาณของพวกผีที่อยู่ในบ้านของเธอ

ซึ่งทำให้เธอนั้นกลัวมากเหมือนกันแต่ก็ต้องทำมาหากินดังนั้นทุกครั้งก่อนที่เธอจะมีการไร้เสื้อผ้าขายเธอจึงต้องจุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางเพื่อขอขมาลาโทษก่อนที่จะมีการขายของทุกครั้งส่วนยอดเงินที่เธอขายได้นั้นส่วนหนึ่งก็คือนำมาเป็นค่าใช้จ่ายของตนเองและอีกส่วนหนึ่งเธอก็จะนำไปทำบุญให้กับเจ้าของเสื้อผ้า

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย  bk8

จนถึงวันนี้ก็ยังหาตัวฆาตกรที่ฆ่าน้องชมพู่ยังไม่ได้

       เป็นเรื่องราวที่น่าสะเทือนใจที่เกิดขึ้นกับพ่อแม่ของน้องชมพู่ที่ต้องเสียลูกน้อยวัย 3 ขวบไปอย่างไม่มีวันกลับดูเหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดมุกดาหารเมื่อหนูน้อยวัย 3 ขวบหายออกไปจากบ้าน

ตั้งแต่ช่วงเช้าจนเวลาผ่านไปถึง 5 วันจึงมีคนไปพบศพซึ่งศพของน้องชมพู่นั้นบริเวณกลางป่าซึ่งอยู่ในภูเขาภูเหล็กไฟซึ่งหากเดินทางจากบ้านของน้องชมพู่ไปยังบริเวณที่พบนั้นเป็นระยะทางไปมากกว่า 5 กิโลเมตรโดยเป็นไปไม่ได้ที่น้องจะเดินไปถึงบริเวณที่จนเองเสียชีวิตเนื่องจากว่านักข่าวได้มีการลงไปสำรวจพื้นที่พบว่าหากเดินไปจากทางหลังบ้านของน้อง

จะต้องผ่านไร่มันสำปะหลังซึ่งมีความลบและเมื่อทะลุไร่มันสำปะหลังเข้าไปแล้วก็จะถึงบริเวณตีนเขาซึ่งจะเป็นลักษณะของหินที่สูงชันลดหลั่นกันขึ้นไปเป็นไปไม่ได้ที่เด็กอายุแค่เพียง 3 ขวดเท่านั้นจะปีนขึ้นไปบนภูเขาที่สูงชันแบบนั้นได้ขนาดคนเป็นผู้ใหญ่เองยังถือว่าเหนื่อยมากกว่าจะขึ้นได้ในแต่ละก้าวและความสูงของหิน

แต่ละลูกนั้นก็เกินความสูงของเด็กอายุ 3 ขวบที่จะสามารถเดินขึ้นไปได้จากการวิเคราะห์ของนักข่าวในตอนนี้หลังจากที่ได้มีการเข้าไปสำรวจพื้นที่ที่พบศพมั่นใจได้ว่าน้องชมพู่นั้นถูกลักพาตัวไปแน่นอนซึ่งคนที่ลักพาตัวไปนั้นจะต้องเป็นผู้ชายที่มีรูปร่างร่างกายกำยำแข็งแรงและต้องเป็นคนที่คุ้นเคยกับการเข้าป่าเป็นอย่างดี

เพราะรู้ว่าบริเวณไหนที่สามารถเดินไปได้และบริเวณไหนที่จะสามารถหาที่พักพิงได้หรือหลบซ่อนได้นั่นเองเพราะถ้าหากว่าได้เดินทางมาจากหลังบ้านของน้องชมพู่แล้วถ้าต้องไปอีกเส้นหนึ่งก็ต้องขับรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปเท่านั้นรถใหญ่ก็ไม่สามารถเข้าไปได้ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางไกลมากดังนั้นเป็นไปได้ช่องทางก็คือคนที่มารับตัวน้องชมพู่ไป

จะต้องพาไปทางด้านหลังบ้านหรือไม่ก็ต้องนำขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ออกไปแต่เป็นที่น่าสังเกตว่าพ่อแม่ของน้องบอกว่าในช่วงเวลาที่น้องขายตัวในนั้นมีสุนัขอยู่ที่หน้าบ้านประมาณ 4 ตัวแต่สุนัขทุกตัวไม่มีตัวไหนที่จะเผาเลยแสดงว่าคนที่พาตัวน้องชมพู่ไปนั้นไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับสุนัขเหล่านั้นแน่นอนดังนั้นตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงมีการจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยจำนวน 5 คนมาทำการสอบสวนอยู่แต่ยังไม่ออกมาให้การว่าใครกันแน่

ที่เป็นคนร้ายในการนำตัวน้องชมพู่ไปฆ่าตายในครั้งนี้และเหตุจูงใจนั้นคืออะไรและเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมีข้อสงสัยและพิรุธหลายอย่างซึ่งตอนนี้ได้มีการนำร่างของน้องไปทำการผ่าพิสูจน์เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติมอีกครั้งซึ่งพ่อแม่ของน้องก็ยินดีที่จะให้ความร่วมมือในการหาข้อมูลในการจับกุมตัวคนร้ายในครั้งนี้สำหรับพรุ่งนี้เป็นอุทาหรณ์ให้กับผู้ปกครองหลายๆคน

ที่มีรูปเล็กๆว่าไม่ควรปล่อยให้ลูกอยู่เพียงลำพังเพราะเราไม่รู้ว่าจะมีคนร้ายบุกเข้ามาถึงที่บ้านของเราและมาขโมยบุตรหลานของเราไปในตอนไหนได้อย่างไรก็ดีเราควรมีการอบรมสั่งสอนบุตรหลานของเราให้ระวังการพูดคุยกับคนแปลกหน้าหรือแม้แต่คนใกล้ชิดเองก็ไม่ควรไปไหนมาไหนด้วยหากยังไม่ได้ขอผู้ปกครองเสียก่อน

 

สนับสนุนเรื่องราวมาจาก  bk8

คนไทยในเกาหลีใต้วอนรัฐบาลไทยพากลับบ้าน

คนไทยในเกาหลีใต้วอนรัฐบาลไทยพากลับบ้านตอนนี้ใกล้อดตายแล้วเพราะต้องคอยจ่ายเงินเลื่อนตั๋วเครื่องบินเพราะไทยปิดน่ายฟ้า

           มีรายงานข่าวเข้ามาเมื่อวันที่ 20 เดือนเมษายนพ.ศ 2563 ว่ามีคนไทยที่ไปทำงานอยู่ที่ประเทศเกาหลีใต้ได้มีการร้องเรียนผ่านสื่อทีวีช่อง 1 เข้ามาเกี่ยวกับการที่รัฐบาลไทยมีการประกาศปิดประเทศไม่ให้มีการเปิดน่านฟ้าไม่เปิดให้ต่างประเทศเดินทางเข้ามาในประเทศไทยในช่วงนี้เพราะต้องการที่จะมีการควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าให้หายไปก่อน

ก่อนที่จะมีการเปิดจรไปมาระหว่างประเทศกันอีกครั้งหนึ่งซึ่งทางสำนักงานข่าวดังกล่าวที่ได้รับร้องเรียนจากคนไทยที่ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศนั้น

ได้นำคลิปวีดีโอของผู้หญิงคนหนึ่งชื่อว่านางสาวเบญจวรรณเป็นคนจังหวัดตากและได้มีการเดินทางไปทำงานอยู่ที่ประเทศเกาหลีใต้ซึ่งเธอได้มีการอัดคลิประบายถึงรัฐบาลของประเทศไทยว่าให้ช่วยประสานงานพาเธอและครอบครัวเธอรวมถึงคนไทยคนอื่นๆที่ยังอยู่ในเกาหลีใต้กับประเทศด้วยเนื่องจากว่าตอนนี้สถานการณ์ของทุกคนที่อยู่ในประเทศเกาหลีใต้นั้น

ค่อนข้างลำบากมากเนื่องจากในตอนแรกนั้นทุกคนตั้งใจว่าจะลาออกจากงานและเตรียมซื้อตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับประเทศแล้วแต่อยู่ดีๆทางรัฐบาลก็มีการประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ออกมาว่าห้ามมีการเดินทางระหว่างประเทศซึ่งประเทศไทยขอปิดประเทศงดสัญจรฐานทางด้านฟ้าทำให้พวกเขาที่พากันซื้อตั๋วเครื่องบินเรียบร้อยแล้วไม่สามารถที่จะนั่งเครื่องมาลงในประเทศไทย

ได้พวกเขาทำได้เพียงแค่มีการเลื่อนวันเดินทางกลับออกไปเรื่อยๆเท่านั้นเองซึ่งตั้งแต่ลาออกจากงานมาพวกเขาก็ใช้เงินที่มีอยู่ 100 ลงไปเรื่อยๆตอนนี้ปัญหาที่พบคือเงินเริ่มจะหมดแล้วและข้าวสารรวมถึงอาหารสดต่างๆก็ร่อยหรอลงทุกทีทำให้ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตอยู่ในประเทศเกาหลีใต้ได้แล้ว

จึงได้มีการขอประสานงานให้รัฐบาลไทยช่วยเหลือพวกเขาให้กลับมาที่เมืองไทยให้ได้ในครั้งนี้ด้วยซึ่งเบื้องต้นนั้นมีการตรวจสอบคนไทยที่อยู่ในเกาหลีใต้แล้วว่ามีประมาณ 98 คนที่ยังคงอยู่ที่เกาหลีใต้และต้องการที่จะเดินทางกลับประเทศไทยอย่างแน่นอน

หลายคนได้รับความเดือดร้อนไม่มีที่อยู่และขาดแคลนเงินดังนั้นส่วนใหญ่จึงต้องช่วยเหลือกันเองด้วยกันมาอยู่รวมๆกันในห้องเช่าและใช้ชีวิตไปวันๆมีกินมีใช้ก็ต้องแบ่งกันซึ่งค่าครองชีพที่เกาหลีใต้นั้นค่อนข้างแพงน้ำขวดนึงก็ต้อง 25 บาท

ซึ่งตอนนี้หลายคนเงินแทบจะไม่เหลือติดตัวแล้วดังนั้นถ้าหากรัฐบาลไม่ช่วยเหลือในช่วงนี้พวกเขาทั้งหมดต้องอดตายอย่างแน่นอนโดยเขายืนยันว่าหากทางรัฐบาลมีการช่วยให้เขากับประเทศไทยได้พวกเขายินดีจะทำทุกอย่างตามที่รัฐบาลต้องการเกี่ยวกับเรื่องของการกลับตัว

 

สนับสนุนโดย  bk8

คนร้ายบุกยิง จนลูกจ้างดับคาที่

 มีคดีอุกอาจเกิดขึ้นที่จังหวัดตรัง มีคนร้ายใช้ปืน M16 ยิงลูกจ้างร้านค้าขายพลาสติก หน้าห้องเช่าในพื้นที่จังหวัดตรังเสียชีวิต ซึ่งเหตุการณ์ในคำนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องสงสัยเรียบร้อยแล้ว  เหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นในซอยแห่งหนึ่งในจังหวัดตรัง

ซึ่งไม่มีชื่อว่าเป็นชื่อซอยอะไรแต่ภายในซอยจะมีการปลูกห้องเช่าให้ลูกจ้างได้พักอาศัยโดยภายในซอยจะมีห้องพักอยู่หลายอย่างด้วยกัน ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ลงมาตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ ซึ่งระหว่างที่ทางเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการนั้นก็มีชาวบ้านมามุงดูเป็นจำนวนมากโดยเจ้าหน้าที่พบศพชายเสียชีวิต 1 รายชื่อว่า นายสุธน    แซ่ฮ่องอายุประมาณ 44 ปี

ซึ่งทำงานเป็นลูกจ้างร้านค้าขายพลาสติก ซึ่งสภาพศพนั้นมีเลือดไหลออกมาจากร่างกายเป็นจำนวนมาก และมีไส้ทะลักโดยมีอาวุธปืนยิงเข้าไปในร่างกายรวมทั้งหมดประมาณ 6 นัดด้วยกัน ซึ่งลักษณะการยิงของคนร้ายเหมือนกับว่ามีการโกรธแค้นกับผู้ตายเป็นอย่างมากเริ่มต้น ทราบมาว่าก่อนเกิดเหตุนายสุทนได้นั่งกินสุราพร้อมกับเปิดเพลงฟังอยู่หน้าบ้านคนเดียวหลังจากนั้นชาวบ้านก็เห็นว่ามีใครก็ไม่รู้เขาไม่เห็นหน้าตา

แล้วไม่รู้ว่ามีกี่คนแต่ที่รู้คือคนร้ายเดินผ่านมาจากทางสวนยางพาราและพอมาถึงนายสุธนก็กระหน่ำยิงโดยไม่พูดอะไรเลย ซึ่งเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตรวจสอบหาสาเหตุของการกระทำในครั้งนี้แต่อาจจะเกิดเป็นไปได้ว่าคนร้ายไม่พอใจที่นายสุธนเปิดเพลงเสียงดัง 

     มีเพื่อนบ้านของนายสุธนให้การกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าโดยปกติแล้วบ้านหลังที่นายสุธนอยู่ในอยู่กับภรรยา 2 คน ซึ่งทั้งคู่มักจะมีการเปิดเพลงเสียงดังตลอดทั้งวันหากมีการอยู่บ้านแต่ว่าช่วงสองสามวันมานี้ไม่เห็นหน้าภรรยาของนายสุธนเลย และในวันเกิดเหตุนี้นายนายสุธนก็อยู่บ้านคนเดียวไม่ได้ออกไปทำงานเลยออกมานั่งกินเหล้าอยู่หน้าบ้าน  

ซึ่งตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องสงสัยไปสอบปากคำอยู่โดยผู้ต้องสงสัยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำไปนี้จะมีบ้านอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับที่พักของนายสุธนซึ่งถ้าดูจากสถานที่ห่างกันของบ้านทั้งสองหลังนั้นบ้านหลังใหญ่ดังกล่าวจะต้องมีการเดินตัดมาทำสวนยางพาราถึงจะเดินทางมาที่บ้านของนายสุธนได้ซึ่งมันตรงกับคำให้การของเพื่อนบ้านที่เห็นว่ามีใครก็ไม่รู้เดินเข้ามาจากสวนยางพารา  

ชาวบ้านได้บอกว่าบ้านหลังใหญ่ดังกล่าวไม่มีใครรู้จักเจ้าของบ้านเป็นการส่วนตัวแต่เท่าที่รู้ว่าหลังนั้นจะมีเจ้าหน้าที่ทหารเป็นผู้มาพักอาศัยนานๆถึงจะเห็นอยู่บ้านที ซึ่งหลายคนสันนิษฐานกันว่านายทหารคนดังกล่าวอาจจะรำคาญเสียงเพลงที่นายสุธนเปิดฟัง

จึงได้มาก่อเหตุยิงนายสุธนเพราะว่าบ้านอยู่ใกล้เคียงกันมากที่สุดเวลาที่นายสุธนเปิดเพลงเห็นเพลงน่าจะไปสร้างความรำคาญให้กับนายทหารคนดังกล่าวก็เป็นได้ทั้งนี้ต้องรอทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนต่อไป 

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  bk8